กรุงเทพฯ--20 ก.ย.--ศูนย์ปชส. กระทรวงคมนาคม
การบินไทยไม่เคยรังเกียจผู้ติดเชื้อเอชไอวี หรือผู้โดยสารที่ป่วยด้วยโรคอื่นๆ ทั้งนี้เคยอนุมัติผู้ติดเชื้อเอชไอวีให้เดินทางในหลายๆ กรณี โดยมีมาตรการและวิธีปฏิบัติมานาน ซึ่งได้มีการพิจารณาร่วมกันกับสถาบันเวชศาสตร์การบินและโรงพยาบาลบำราศนราดูร รวมทั้งมีคู่มือปฏิบัติงานของพนักงานที่จะต้องปฏิบัติต่อผู้โดยสารป่วยที่ต้องการเดินทางโดยเครื่องบิน ที่เป็นไปตามมาตรฐานของสมาคมการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) และมาตรฐานของสายการบินชั้นนำทั่วโลก
จากกรณีที่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวีจากประเทศญี่ปุ่นที่ต้องการเดินทางกลับประเทศไทยโดยสายการบินไทยนั้น การบินไทยได้รับข้อมูลจากแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยไม่เพียงพอ แม้ว่าสำนักงานการบินไทยที่ญี่ปุ่นพยายามติดต่อเพื่อขอข้อมูลเพิ่ม และผู้ป่วยมีอาการไม่ดี โดยดูจากผลของความดันโลหิต อัตราการหายใจต่อนาที ชีพจร และอุณหภูมิของร่างกาย (Vital Signs) นอกจากนี้ยังมีปัญหา คือ
1. ไม่ส่งผลการตรวจ Lab Result เป็นภาษาอังกฤษตามที่ขอ
2. ไม่มีการส่งผลการเอ็กซเรย์ปอดอย่างเป็นทางการมาให้
นอกจากนี้เนื่องจากใกล้วันเดินทางของผู้ป่วยแต่ทางการบินไทยไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะทำให้มั่นใจว่าผู้ป่วยไม่มีเชื้อวัณโรคแทรกซ้อนและแข็งแรงเพียงพอในการเดินทางทางอากาศ อย่างไรก็ตามการบินไทยได้ยินดีเสนอรับผู้ป่วยโดยจัดการเดินทางพิเศษ โดยการจัดเตียงให้นอนด้านท้ายของห้องโดยสาร เพื่อให้ผู้ป่วยได้พักตลอดการเดินทาง (Lying Sick) แต่ผู้โดยสารได้ตัดสินใจเลือกเดินทางด้วยเครื่องบินของสายการบินเจแปน แอร์ไลนส์ แล้ว
การบินไทยขอยืนยันว่าบริษัทฯ ไม่เคยรังเกียจผู้ติดเชื้อเอชไอวี เพราะที่ผ่านมาการบินไทยได้อนุมัติผู้ติดเชื้อเอชไอวี ให้เดินทางในหลายๆ กรณี โดยในปีนี้ได้อนุมัติผู้ติดเชื้อเอชไอวี เดินทางจำนวน 2 คน โดยล่าสุดเดินทางจากประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา สำหรับกรณีที่เป็นข่าวนี้แพทย์ผู้ทำการรักษาไม่ได้ให้ข้อมูล Clinical Report ผลการเอ็กซเรย์ปอด และ Lab Result ทั้งนี้การอนุมัติผู้โดยสารป่วย คือ ความรับผิดชอบของสายการบิน ต่อชีวิตของผู้ป่วยเอง ต่อผู้โดยสารท่านอื่นหลายร้อยคน และต่อลูกเรือที่ปฏิบัติหน้าที่ในเที่ยวบิน
การบินไทยมีมาตรการรับผู้โดยสารที่เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งได้จัดทำวิธีการปฏิบัติมานานแล้ว และได้มีการประชุมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์การบิน และผู้อำนวยการโรงพยาบาลบำราศนราดูร (ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญด้านโรคเอดส์) ตระหนักดีว่าเชื้อเอชไอวี ไม่ติดต่อทางลมหายใจ แต่ปัญหาคือโรคแทรกซ้อนร้ายแรงอื่นๆ ที่ติดต่อทางลมหายใจได้ เช่น วัณโรค เป็นต้น ดังนั้นการเดินทางในห้องผู้โดยสารที่มีความกดอากาศ (Pressurized Cabin) ซึ่งเป็น Closed Space จะมีผลต่อผู้ป่วยซึ่งอาจทำให้อาการทรุดลงได้ และโอกาสที่ผู้โดยสารอื่นและลูกเรือจะได้รับเชื้อวัณโรค จากการแพร่กระจายทางอากาศเป็นไปได้ง่าย ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงมีข้อสรุปว่า ในกรณีผู้ติดเชื้อเอชไอวีขอเดินทางโดยเครื่องบิน ทางการบินไทยจะขอผลการเอ็กซเรย์ปอดล่าสุดทุกครั้ง เพื่อให้แพทย์ของการบินไทยช่วยพิจารณา หากปราศจากเชื้อโรคติดต่อร้ายแรง และอาการผู้ป่วยดีพอ ทางการบินไทยจึงจะอนุมัติให้ขึ้นเครื่องได้ดังที่ได้เคยอนุมัติให้ผู้โดยสารป่วยเดินทาง อาทิ ในปี 2544 การบินไทยอนุมัติให้ผู้โดยสารป่วยเดินทางทั้งหมด 760 กรณี รวมกรณีผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่อนุมัติให้เดินทาง 2 กรณี ในกรณีที่มีเชื้อวัณโรคจะขอให้อยู่รักษาในโรงพยาบาลจนกว่าอาการจะดีขึ้นและแพทย์รับรองว่าไม่อยู่ในระยะที่แพร่เชื้อแล้ว จึงจะอนุมัติให้เดินทางได้
ในปัจจุบันสายการบินส่วนใหญ่ให้บริการขนส่งผู้โดยสารป่วย ที่ได้รับการรักษาจากแพทย์จนอาการดีพอที่จะเดินทางได้ ทั้งนี้สายการบินจะมีมาตรการหรือวิธีปฏิบัติที่เข้มงวดมาก เนื่องจากการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย สภาพอากาศระหว่างเดินทาง ตลอดจนสภาพห้องโดยสารที่เป็นห้องโดยสารที่มีความกดอากาศ (Pressurized Cabin) และ Closed Space อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการทรุดลงหรือเสียชีวิตได้ ซึ่งการบินไทยเองได้จัดทำคู่มือปฏิบัติการทำงานของพนักงานที่จะต้องปฏิบัติต่อผู้โดยสารป่วยที่ต้องการเดินทางโดยเครื่องบิน ซึ่งคู่มือดังกล่าวเป็นไปตามมาตรฐานของ IATA (INTERNATIONAL AVIATION TRANSPORTATION ASSOCIATION หรือสมาคมการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ) และเป็นไปตามมาตรฐานของสายการบินชั้นนำทั่วโลก ซึ่งมีหลักการในการอนุมัติให้ผู้ป่วยเดินทางได้ ดังนี้
1. ผู้ป่วยจะต้องอยู่ในสภาพที่ดีพอที่จะเดินทางได้จริงๆ ในทางตรงกันข้าม ถ้าผู้ป่วยมีอาการหนัก การบินไทยจะไม่อนุมัติให้ผู้ป่วยเดินทาง เพื่อป้องกันมิให้ผู้โดยสารเสียชีวิตระหว่างการเดินทางโดยเด็ดขาด แต่จะขอให้อยู่รับการรักษาที่โรงพยาบาลและหากอาการดีขึ้น จึงจะพิจารณาใหม่อีกครั้ง
2. ผู้ป่วยต้องอยู่ในสภาพที่ไม่แสดงอาการของโรคและเป็นที่สังเกตอย่างเห็นได้ชัดของผู้โดยสารท่านอื่น
3. ผู้ป่วยต้องไม่เป็นโรคติดต่อร้ายแรงทางลมหายใจที่จะทำให้ผู้โดยสารท่านอื่นและลูกเรือติดเชื้อได้
สายการบินส่วนใหญ่จะไม่ยอมให้แพทย์ผู้ทำการรักษาผู้ป่วยโดยตรงเป็นผู้อนุมัติการเดินทาง เนื่องจากขาดความรู้โดยตรงทางด้านเวชศาสตร์การบินและไม่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ดังนั้นสายการบินจึงให้แพทย์ของตนเองหรือแพทย์ท้องถิ่นที่จัดจ้างพิเศษเพื่อช่วยประสานงานให้คำปรึกษากับหน่วยงานที่มีหน้าที่อนุมัติวิธีปฏิบัติของการบินไทย
ในส่วนของการบินไทย แผนกวิธีการขายเป็นผู้รับผิดชอบอนุมัติให้ผู้ป่วยเดินทางโดยมีขั้นตอนปฏิบัติดังนี้
1. ผู้ป่วยติดต่อสำนักงานขายการบินไทย ณ ประเทศนั้นๆ เพื่อขออนุมัติการเดินทาง
2. สำนักงานขายการบินไทย ส่งใบ Medical Information Form (MEDIF) ตามมาตรฐานของ IATA เพื่อให้แพทย์ผู้ทำการรักษากรอกข้อมูลเกี่ยวกับอาการของผู้ป่วย
3. สำนักงานขายกรอก MEDIF ที่ได้รับลงในข้อมูลการเดินทางของผู้โดยสารและติดต่อแผนกวิธีการขายที่สำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯ เพื่อขออนุมัติ
4. ปรึกษาแพทย์ของการบินไทยเพื่อประกอบการตัดสินใจ หากเป็นกรณีไม่หนักจะอนุมัติการเดินทาง แต่ถ้าเป็นกรณีหนักและข้อมูลใน MEDIF ไม่เพียงพอ แพทย์การบินไทยจะขอให้แผนกวิธีการขายช่วยประสานงานเพื่อขอข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติมจากแพทย์ผู้ทำการรักษา
5. นักบินที่ 1 และ/หรือ แผนกเช็คอินผู้โดยสารที่สนามบิน สามารถปฏิเสธไม่ให้ผู้ป่วยขึ้นเครื่องได้ หากอาการของผู้ป่วยอยู่ในสภาพหนัก หรือเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อทางลมหายใจภายในห้องโดยสาร
อย่างไรก็ตาม บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ใคร่ขอยืนยันอีกครั้งว่าไม่เคยรังเกียจผู้ติดเชื้อเอชไอวี หรือผู้โดยสารที่ป่วยด้วยโรคใดๆ ก็ตาม และจากข้อเท็จจริงดังกล่าว เพื่อประโยชน์แก่ผู้โดยสารป่วยทุกเชื้อชาติที่ต้องการเดินทางกับสายการบินไทย เพื่อผู้โดยสารป่วยจะได้ทราบและเกิดความเข้าใจที่ถูกต้องในการเตรียมความพร้อมก่อนที่อาการของโรคจะร้ายแรงจนไม่สามารถเดินทางโดยเครื่องบินได้--จบ--
-พส/สส-