ผลการประชุมคณะรัฐมนตรีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงคมนาคม ประจำวันที่ 20 สิงหาคม 2545

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

กรุงเทพฯ--29 ส.ค.--ศูนย์ปชส. กระทรวงคมนาคม คณะรัฐมนตรีได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2545 ที่ห้องประชุม 2 ตึกสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีหลังใหม่ ซึ่งสรุปผลการประชุมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงคมนาคม ดังนี้ 1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ.... คณะรัฐมนตรีพิจารณาร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ แล้วมีมติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน คือ อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ... โดยให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ไปพิจารณาดำเนินการและแก้ไขปรับปรุงร่างกฎกระทรวงแล้วส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้กระทรวงการคลังรายงานว่า 1. กฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2540) ออกตามความในพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2543)ฯ (กำหนดหลักเกณฑ์และการนำเงินกองทุนไปลงทุนหาผลประโยชน์ คุณสมบัติของผู้รับดำเนินการ วิธีการดำเนินการ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ) มีผลบังคับใช้มาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว และคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการได้เสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงดังกล่าว เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการลงทุนและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่สมาชิกกองทุน ซึ่งกระทรวงการคลังได้พิจารณาแล้ว เห็นควรปรับปรุงกฎกระทรวงดังกล่าว โดยยกร่างกฎกระทรวงขึ้นใหม่ทั้งฉบับและยกเลิกกฎกระทรวงฉบับเดิม 2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ... มีสาระสำคัญคือการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ดังนี้ 2.1 กำหนดคำว่า "หลักทรัพย์" หมายความว่า ทรัพย์สิน และให้หมายความรวมถึงหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ด้วย 2.2 เพิ่มประเภทหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูงที่บริษัทจัดการกองทุนอาจเลือกลงทุนได้กำหนดขอบเขตการลงทุนในหุ้น หุ้นกู้แปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญ หรือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น โดยเมื่อรวมกันทุกบริษัทต้องไม่เกินร้อยละยี่สิบห้าของเงินกองทุน 2.3 ให้บริษัทจัดการกองทุนฯ ที่คณะกรรมการมอบหมายให้เป็นผู้จัดการเงินของกองทุนย่อยสามารถนำเงินของกองทุนย่อยไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ได้ โดยคณะกรรมการอาจกำหนดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขด้วยก็ได้ 2.4 เพิ่มการทำธุรกรรมบางประเภท โดยบริษัทจัดการกองทุนอาจนำเงินของกองทุนย่อยไปทำธุรกรรม 2.5 เพิ่มการขยายขอบเขตการลงทุนของกองทุน โดยให้นำเงินของกองทุนไปลงทุนในต่างประเทศได้ ในกรณีที่ กบข. เป็นผู้ดำเนินการจัดการเอง ให้ลงทุนได้ไม่เกินร้อยละสิบของเงินของกองทุน และให้ลงทุนได้เฉพาะหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคง 2.6 กำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจัดการกองทุนโดยคิดจากค่าตอบแทนสำหรับบริษัทจัดการกองทุนปีละไม่เกินร้อยละ 2.5 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนย่อยที่อยู่ภายใต้การจัดการของบริษัทจัดการกองทุน 2. เรื่อง ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นโยบายการบินพาณิชย์กับการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศ) คณะรัฐมนตรีรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับนโยบายการบินพาณิชย์กับการพิจารณาและส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ และมอบให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีในนามคณะรัฐมนตรี จัดทำรายงานผลการพิจารณา พร้อมทั้งผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีในเรื่องที่สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้คำปรึกษาหรือข้อเสนอแนะแล้วเปิดเผยเหตุผลให้สาธารณชนทราบต่อไปด้วย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจที่ดีต่อกันและเป็นการตอบสนองความเห็นและภารกิจของสภาที่ปรึกษาฯ ซึ่งมีบทบาทสำคัญและจำเป็นในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ทั้งนี้ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรายงานว่า สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้พิจารณานโยบายการบินพาณิชย์ซึ่งเป็นนโยบายที่สำคัญในการสนับสนุนให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวประสบความสำเร็จ แต่ในระยะที่ผ่านมาได้มีการประกาศขึ้นอัตราค่าโดยสารเครื่องบินภายในประเทศ ทำให้ไม่สอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศ โดยเฉพาะนโยบายส่งเสริม "ไทยเที่ยวไทย" ดังนั้น สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมีความเห็นและข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลเพื่อพิจารณาใน 2 ประเด็น โดยสรุปได้ดังนี้ 1. กำหนดนโยบายการบินพาณิชย์ให้เอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศเป็นสิ่งที่จำเป็นที่ต้องดำเนินการอย่างรีบด่วน โดยมีสาระสำคัญ 5 ประการ คือ 1.1 กำหนดนโยบายให้บริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน) เป็นกลไกช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็นหลัก 1.2 การส่งเสริมให้เกิดศูนย์กลางการบินในภาคต่างๆ ของประเทศซึ่งจะเป็นการช่วยนำนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศและเข้าสู่ภูมิภาคต่างๆ ได้อย่างสะดวกและทั่วถึงยิ่งขึ้น ก่อให้เกิดการพัฒนาการท่องเที่ยวและกระจายความเจริญสู่แหล่งต่างๆ ทั่วประเทศ 1.3 สร้างความชัดเจนในนโยบายการบินเสรี โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะให้เกิดการแข่งขันอย่างกว้างขวาง เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนผู้บริโภคในเรื่องของราคาและคุณภาพ แต่ในปัจจุบันความมุ่งหมายของนโยบายนี้ยังไม่เป็นรูปธรรม 1.4 สร้างกลไกการมีส่วนร่วมของประชาชนและผู้ประกอบการในนโยบายการบิน รัฐบาลควรเปิดโอกาสให้มีการรับฟังข้อคิดเห็น ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อการกำหนด นโยบายและการดำเนินงานของรัฐบาลในนโยบายการบิน หรือแม้กระทั่งการมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายโดยตรงก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี 1.5 การขึ้นอัตราค่าโดยสารเครื่องบินจะต้องกระทำอย่างสมเหตุสมผล โดยมีการกำหนดอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสมและพออยู่ได้ เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว 2. ความเห็นต่อการกำหนดยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวเพื่อเป็นยุทธศาสตร์หลักในการกอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจ เนื่องจากการท่องเที่ยวเป็นกลไกที่ช่วยสร้างงาน ช่วยกระจายรายได้ ดังนั้น จึงต้องเน้นการท่องเที่ยวแบบยั้งยืน การใช้ต้นทุนทางสังคมและทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งคำนึงถึงการอนุรักษ์ประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามของคนไทยให้คงอยู่ตลอดไป การบรรลุผลดังกล่าวจำเป็นต้องมีการกำหนดนโยบายของรัฐอย่างเป็นรูปธรรม และให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับแนวนโยบายไปร่วมกันปฏิบัติอย่างมีบูรณาการ ในส่วนของรัฐบาลเองหากยังมีข้อขัดแย้งในเชิงนโยบายดังเช่นเรื่องการขึ้นค่าโดยสารเครื่องบินภายในประเทศกับนโยบายไทยเที่ยวไทย รัฐบาลก็ควรรีบพิจารณาตัดสินใจเพื่อสร้างความชัดเจนและกำหนดทิศทางที่ถูกต้อง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ นอกจากนี้ควรบริหารจัดการการท่องเที่ยวให้มีคุณภาพและมีความยั่งยืน ซึ่งหมายถึงสิ่งแวดล้อมไม่ถูกทำลาย ชุมชนได้ประโยชน์ และนักท่องเที่ยวเกิดความพึงพอใจไปพร้อมกันด้วย 3. เรื่อง อนุมัติต่อสัญญาเงินกู้วงเงิน 800 ล้านบาท ของการรถไฟแห่งประเทศไทย คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ต่ออายุสัญญาเงินกู้ วงเงิน 800 ล้านบาท จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ต่อไปอีก 1 ปี (จนถึงวันที่ 29 มีนาคม 2546) โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน และมีเงื่อนไขว่า รฟท. จะต้องเร่งรัดปรับแผนการดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดทุน รวมทั้งการปรับปรุงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ เพื่อให้มีรายได้สามารถเลี้ยงตนเองได้อย่างมั่นคงต่อไปด้วย ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมได้รับรายงานจาก รฟท. ว่า ปีงบประมาณ 2545 รฟท. ประมาณการว่า จะมีรายได้จากการดำเนินงาน จำนวน 7,659.000 ล้านบาท และมีรายจ่ายในการดำเนินงาน จำนวน 13,543.300 ล้านบาท ซึ่งจะมีผลขาดทุนจากการดำเนินการ จำนวน 5,884.300 ล้านบาท ทำให้ รฟท. ประสบปัญหาขาดเงินสดหมุนเวียน จำนวน 524.629 ล้านบาท ดังนั้น รฟท. จึงจำเป็นต้องขออนุมัติต่ออายุสัญญาเงินกู้วงเงิน 800 ล้านบาท ต่อไปอีก 1 ปี โดยมีกระทรวงการคลังค้ำประกันเพื่อไว้ใช้ในกรณีที่ รฟท. อาจขาดเงินทุนหมุนเวียนในช่วงใดช่วงหนึ่ง รวมทั้งมิให้การดำเนินงานต้องกระทบกระเทือนหรือหยุดชะงัก กระทรวงคมนาคมพิจารณาแล้ว เห็นชอบตามที่ รฟท.เสนอและรายงานว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2545 นั้น รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์ )ได้กำหนดให้มีการประชุมหารือร่วมกัน เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2545 และมีมติให้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง ดังนี้ กระทรวงคมนาคมจึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการขาดทุน และปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของ รฟท.โดยมีรองปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธาน เพื่อพิจารณาจัดทำแผนกลยุทธ์ในการแก้ไขปัญหาการขาดทุนและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของ รฟท. ให้มีความชัดเจนและเป็นรูปธรรม ทั้งในเรื่องการบริหารและการบริการ โดยให้มีรายละเอียดของแผนงาน/กิจกรรม งบประมาณและระยะเวลาที่ใช้ในการดำเนินการ รวมถึงผลที่คาดว่าจะได้รับจากการดำเนินการตามแผนฯ และนำเสนอผลการพิจารณาต่อกระทรวงคมนาคมพิจารณานำเสนอรองนายกรัฐมนตรีต่อไป ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการของคณะกรรมการดังกล่าว โดยจะต้องพิจารณาถึงการปรับโครงสร้างของ รฟท. เพื่อให้สอดคล้องกับแผนกลยุธท์ที่จัดทำขึ้นด้วย หลังจากดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว กระทรวงคมนาคมจะได้นำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาในโอกาสต่อไป 4. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 3/2545 คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 3/2545 แล้วมีมติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปองพล อดิเรกสาร) ประธานคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ เสนอดังนี้ 1. เห็นชอบการปรับแผนการจำหน่ายหุ้นของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) 2. เห็นชอบการปรับแผนการนำรัฐวิสาหกิจเข้าจดทะเบียนและกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 3. เห็นชอบแนวทางการดำเนินกิจการบริษัท ไทยเดินเรือทะเล จำกัด และโครงการจัดหาเรือเพื่อประกอบกิจการขนส่งสินค้า ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี (นายปองพล อดิเรกสาร) ประธานคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ รายงานว่า คณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ในคราวประชุมครั้งที่ 3/2545 เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2545 ได้มีมติในเรื่องต่างๆ รวม 3 เรื่องดังนี้ 4. การปรับแผนการจำหน่ายหุ้นของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอให้ปรับแผนการจำหน่ายหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (บกท.) โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ 4.1 ให้ บกท. จำหน่ายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไป นักลงทุนสถาบันแทนการจำหน่ายหุ้นให้กับพันธมิตรธุรกิจ (Strategic Partner) และให้จำหน่ายหุ้นให้พนักงานตามโครงการจัดสรรหลักทรัพย์ให้พนักงาน (ESOP) การปรับแผนดังกล่าวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันกับสายการบินอื่นๆ และเนื่องจาก บกท. มีกลุ่มพันธมิตรการบิน Star Alliance ที่ถือเป็นกลุ่มพันธมิตรที่ใหญ่และแข็งแกร่งที่สุดในโลก จึงไม่มีความจำเป็นต้องสรรหาพันธมิตรธุรกิจในขณะนี้ 4.2 กำหนดให้จำหน่ายหุ้นเพิ่มทุนของ บกท. จำนวน 300 ล้านหุ้น และหุ้นเดิมของกระทรวงการคลัง จำนวนประมาณ 100 ล้านหุ้น โดยให้ บกท. นำเงินไปใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ถือหุ้น 4.3 การอนุมัติให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการระดมทุนของ บกท. โดยมี ปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน มีหน้าที่เตรียมการและกำกับดูแลการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนการจำหน่ายหุ้นให้แล้วเสร็จ 5. การปรับแผนการเตรียมความพร้อมในการนำรัฐวิสาหกิจเข้าจดทะเบียนและกระจายหุ้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้มีการปรับแผนการเตรียมความพร้อมในการนำรัฐวิสาหกิจเข้าจดทะเบียนและกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจใช้เป็นเป้าหมายในการดำเนินการ แผนการเตรียมความพร้อมฯ ดังกล่าว กระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งได้ร่วมพิจารณาในเบื้องต้นแล้ว อย่างไรก็ตามในการนำรัฐวิสาหกิจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะต้องมีการพิจารณาถึงความพร้อมขององค์กร รวมทั้งมีการจัดลำดับก่อนหลังเพื่อเกิดประโยชน์โดยรวมสูงสุด โดยรัฐวิสาหกิจ กระทรวงเจ้าสังกัดและกระทรวงการคลังจะพิจารณาความเหมาะสมเพื่อนำเสนออีกครั้งหนึ่ง 5. เรื่อง การดำเนินงานส่งเสริมการใช้อินเทอร์เน็ตในสถานศึกษา คณะรัฐมนตรีรับทราบการดำเนินงานส่งเสริมการใช้อินเทอร์เน็ตในสถานศึกษาของคณะกรรมการพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งกองทุนพัฒนาอินเทอร์เน็ตในสถานศึกษา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอดังนี้ 1) ด้านเครือข่าย คณะกรรมการฯ ได้ศึกษารายละเอียดข้อมูลโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงมหาดไทย พบว่าจากจำนวนโรงเรียนในระดับต่างๆ ทั่วประเทศ 46,568 แห่ง มีโรงเรียนที่ยังไม่มีโทรศัพท์ใช้จำนวน 26,568 แห่ง คณะกรรมการฯ จึงได้มอบหมายให้องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยเร่งดำเนินการติดตั้งเลขหมายโทรศัพท์ให้แก่สถานศึกษาซึ่งยังไม่มีโทรศัพท์เพื่อให้พร้อมที่จะรองรับการให้บริการอินเทอร์เน็ตให้แล้วเสร็จภายในปี 2545 ซึ่งองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ได้เร่งรัดดำเนินการปรากฎผลดังนี้ - ดำเนินการติดตั้งเลขหมายโทรศัพท์ให้แก่สถานศึกษาทั่วประเทศ ซึ่งยังไม่มีเลขหมายแล้ว จำนวน 5,984 แห่ง - กำลังดำเนินการติดตั้งเลขหมายโทรศัพท์ให้แก่สถานศึกษาที่อยู่นอกข่ายโทรศัพท์ แห่งละ 1 เลขหมาย รวม 20,584 แห่ง - จะดำเนินการติดตั้งเลขหมายโทรศัพท์เพิ่มให้แก่สถานศึกษาที่มีโทรศัพท์ใช้งานแล้ว อีกแห่งละ 1 เลขหมาย 2) ด้านการพัฒนาเนื้อหาการเรียนการสอน (Contents) คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาเห็นว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องจัดให้มีเนื้อหาการเรียนการสอนที่สถานศึกษาสามารถเรียกใช้ประโยชน์จากเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่กระทรวงคมนาคม จัดหาให้ในทันที โดยจัดทำโครงการนำร่องจัดทำเนื้อหาการสอนในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเน้นการบริหารความรู้โดยการรวบรวม และบันทึกความรู้และภูมิปัญญา ตลอดจนทักษะในการถ่ายทอดของครูอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถสูง ทั่วประเทศ ในรูปแบบสื่อการสอนอิเล็กทรอนิกส์ 3) การจัดตั้งกองทุนพัฒนาอินเทอร์เน็ตในสถานศึกษา กระทรวงคมนาคม ได้ให้ความเห็นชอบในการจัดตั้งกองทุนพัฒนาอินเทอร์เน็ตในสถานศึกษา โดยได้มาจากการบริจาคโดยการสื่อสารแห่งประเทศไทย จำนวน 23 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินกองทุนเริ่มต้นจำนวน 1 ล้านบาท และอีก 22 ล้านบาท จะใช้ในการจัดทำโครงการนำร่องซึ่งเป็นโครงการที่คณะกรรมการฯ เห็นควรจัดทำขึ้นเพื่อพัฒนาเนื้อหาการสอนในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ การติดตั้งเลขหมายโทรศัพท์ให้แก่สถานศึกษาจำนวน 46,568 แห่ง ซึ่งองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยเป็นผู้ดำเนินการให้ โดยใช้งบประมาณขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย คิดเป็นมูลค่า 598.5 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการบริจาคให้แก่กองทุนโดยทางอ้อม 6. เรื่อง การเข้าร่วมในปฏิญญามะนิลา 2002 คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ประเทศไทยเข้าร่วมในปฏิญญามะนิลา 2002 โดยหากจำเป็นสามารถปรับปรุง ถ้อยคำของบันทึกความเข้าใจที่มิใช่สาระสำคัญ ก็ให้กระทรวงคมนาคมสามารถดำเนินการได้ โดยประสานงานกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ และให้ความเห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย สรุปสาระสำคัญของร่างปฏิญญา ดังนี้ 1. ร่างปฏิญญาดังกล่าวเป็นการประกาศเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีอาเซียนที่รับผิดชอบการด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีด้านโทรคมนาคมอาเซียน ครั้งที่ 2 ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ภายใต้หัวข้อ "การใช้ประโยชน์ของการแข่งขันทางด้านเทคโนโลยี สารสนเทศของกลุ่มประเทศอาเซียน" ซึ่งสอดคล้องกับบันทึกความเข้าในระดับรัฐมนตรีว่าด้วยความร่วมมือ ของอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์อาเซียนปี ซึ่งระบุถึงการร่วมมือกันของชาติต่างๆ ในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ด้วยความมั่นคงและมั่งคั่ง ตลอดจนการเป็นพันธมิตรร่วมในสังคม ที่มีการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง และที่มีการช่วยเหลือจุนเจือกัน 2. ร่างปฏิญญาฉบับนี้ได้แสดงเจตจำนงที่จะสนับสนุนวัตถุประสงค์ทั้ง 4 ประการของกรอบความตกลง e-ASEAN อันประกอบด้วย 1) ส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนา การสร้างความแข็งแกร่งและการส่งเสริมการแข่งขันในสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ 2) ลดความแตกต่าง ของเทคโนโลยีทั้งภายในและระหว่างประเทศสมาชิกกลุ่มอาเซียน 3) ส่งเสริมความร่วมมือ ระหว่างภาครัฐและเอกชนให้ตระหนักถึงความสำคัญของ e-ASEAN และ 4) เปิดเสรีการค้าในผลิตภัณฑ์ด้าน ICT การบริการ และการลงทุนด้าน ICT อันจะเป็นการสนับสนุน แนวคิดริเริ่มด้าน e-ASEAN 7. เรื่อง มาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภายในหน่วยงานของรัฐ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภายในหน่วยงานของรัฐ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ และเห็นชอบประเด็นอภิปรายของกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 ซึ่งมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายกระแส ชนะวงศ์) ปฏิบัติหน้าที่ประธาน ดังนี้ 1. มาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภายในหน่วยงานของรัฐตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ สอดคล้องกับนโยบายของ รัฐบาลด้านการปราบปรามการทุจริตและแผนปฏิบัติการสร้างราชการใสสะอาดที่สำนักงาน ก.พ.เสนอ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบในหลักการแล้ว และมาตรการดังกล่าวจะช่วยเสริม แผนปฏิบัติการส่วนราชการใสสะอาดให้ได้ผลในทางปฏิบัติมากยิ่งขึ้น 2. ส่วนราชการได้ปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการสร้างราชการใสสะอาดตามที่สำนักงาน ก.พ.เสนอไประดับหนึ่งแล้ว เพื่อให้การดำเนินการตามมาตรการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตภายในหน่วยงานของรัฐไม่ซ้ำซ้อนกับแผนปฏิบัติการสร้างราชการใสสะอาด และมีการปฏิบัติอย่างจริงจังให้เห็นเป็นรูปธรรม ซึ่งอาจจะต้องตั้งคณะทำงานขึ้นคณะหนึ่งทำการศึกษาผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยต่างๆ มาตรการของสำนักงาน ก.พ.รายงานของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินประกอบ กับข้อมูลและข้อเสนอของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติในเรื่องนี้ที่มีอยู่แล้ว เพื่อทราบถึงมูลเหตุแห่งปัญหาและแนวทางตลอดจน การวางมาตรการป้องกัน และแก้ไขอย่างเด็ดขาด รวดเร็วและเป็นธรรมทั้งระบบ โดยให้ดำเนินมาตรการลงโทษทุกระดับชั้น ขณะเดียวกันต้องสร้างขวัญและกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต การดำเนินการในเรื่องนี้ต้องกระทำในแนวรุก เพื่อให้ผลที่ปรากฎออกมาเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น โดยอาจปรับปรุงรูปแบบของคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่สนับสนุนแบบติดตามการดำเนินงานด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตตามนโยบายของคณะรัฐมนตรี (ป.ท.) ของกระทรวงมหาดไทย ให้ประกอบไปด้วยส่วนราชการที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย และองค์กรภาคประชาชนยิ่งขึ้น โดยมีสำนักงาน ก.พ. เป็นศูนย์กลางและเป็นแกนหลัก ซึ่งรัฐบาลให้การสนับสนุนในด้านงบประมาณแก่หน่วยงานของรัฐทุกหน่วยในการดำเนินการอีกทางหนึ่งด้วย เพื่อให้นโยบายของรัฐบาลในด้านการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบประสบผลสำเร็จ ทั้งนี้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอว่า 1. ปัจจุบันการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นภัยร้ายแรงที่คุกคามความมั่นคงของประเทศเป็นตัวก่อปัญหาตามมามากมายหลายประการ ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง เมื่อนำกระบวนการทุจริตมาพิจารณาถึงองค์ประกอบต่างๆ แล้วเห็นได้ว่า การทุจริตเกิดจากความร่วมมือกันของภาคราชการ ภาคเอกชน และภาคการเมือง โดยมีภาคราชการเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด ถ้าหากกำหนดให้มีกลไกที่สามารถบังคับให้ภาคราชการไม่สามารถให้ความร่วมมือ หรือให้ความร่วมมือในการทุจริตกับภาคเอกชนและภาคการเมืองได้ยากขึ้น โดยกำหนดให้ทุกหน่วยงานภาคราชการจะต้องดำเนินการสร้างระบบการควบคุมการปฏิบัติงานภายใน เพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ก็น่าจะเป็นส่วนเสริมกลไกอื่นๆ ที่มีอยู่แล้วให้สามารถบรรลุผลในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตได้สมบูรณ์ขึ้น 2. สมควรกำหนดให้หน่วยงานภาคราชการทุกหน่วยงานตั้งแต่ระดับกรมขึ้นไป รวมทั้งรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐต้องถือเป็นนโยบายสำคัญอย่างยิ่งในการที่จะต้องมีหน้าที่ดำเนินการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภายในหน่วยงานอย่างเข้มงวดและจริงจังมากขึ้น 8. เรื่อง ขอความเห็นชอบให้ข้าราชการปฏิบัติหน้าที่ในรัฐวิสาหกิจ [บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)] คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอให้ พลอากาศเอก ณรงค์ศักดิ์ สังขพงศ์ ข้าราชการทหาร สังกัดกองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม ตำแหน่งที่ปรึกษาสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ ไปปฏิบัติหน้าที่ในรัฐวิสาหกิจ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ในตำแหน่งรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ มีกำหนดเวลาไม่เกิน 2 ปี โดยให้ออกจากราชการไว้ก่อน และไม่ให้รับเงินเดือนจากต้นสังกัดเดิม แต่ให้นับเวลาระหว่างนั้นเหมือนเต็มเวลาราชการ และเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจภายในกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว ให้กระทรวงกลาโหมบรรจุเข้ารับราชการ ในตำแหน่งและรับเงินเดือนไม่ต่ำกว่าเดิม สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้รับการประสานจากกระทรวงคมนาคมว่า โดยที่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างการดำเนินการ เกี่ยวกับการก่อสร้างท่าอากาศยานแห่งใหม่ (สุวรรณภูมิ) ดังนั้น บริษัทฯ จะต้องมีที่ทำการ และสิ่งอำนวยความสะดวก ตลอดจนเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ที่จำเป็น เห็นสมควรให้มีเจ้าหน้าที่ ชั้นผู้ใหญ่ระดับที่สามารถตัดสินใจปัญหาด้านนโยบายและแผนปฏิบัติการตลอดจนมีความรู้ความสามารถ ด้านเทคนิควิศวกรรมการบิน และบริหารจัดการ อีกทั้งสามารถประสานงานกับการท่าอากาศยาน แห่งประเทศไทย บริษัท ท่าอากาศยานกรุงเทพ จำกัด และกองทัพอากาศได้อย่างดี จึงขออนุมัติกระทรวงการคลังกำหนดตำแหน่งรองกรรมการ ผู้อำนวยการใหญ่ขึ้นใหม่เป็นกรณีพิเศษ 1 อัตรา ซึ่งพลอากาศเอก ณรงศักดิ์ สังขพงศ์ ข้าราชการทหารสังกัดกองบัญชาการทหารสูงสุด ตำแหน่งที่ปรึกษาสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม แต่เนื่องจาก พลอากาศเอก ณรงค์ศักดิ์ สังขพงศ์ มีสถานะเป็นข้าราชการทหาร และการไปปฏิบัติหน้าที่ในบริษัทฯ ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจครั้งนี้มีระยะเวลาจำกัดเพียงเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า อันเป็นความจำเป็นของทางราชการเป็นการชั่วคราว และพนักงานรัฐวิสาหกิจต้องไม่เป็นข้าราชการ ที่มีตำแหน่งและเงินเดือนประจำในเวลาเดียวกัน--จบ-- -พส/นห-

ข่าวกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์+กระทรวงการคลังวันนี้

กรุงไทย ผนึก กรมธนารักษ์ และ ธอส. ยกระดับฐานข้อมูลอสังหาฯ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ในพิธีลงนามความร่วมมือว่าด้วยการบูรณาการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านประเมินราคาทรัพย์สินร่วมกัน โดยมี นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ พร้อมด้วย นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย และ นายวิทยา แสนภักดี รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มงานปรับโครงสร้างหนี้ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ร่วมลงนาม เพื่อพัฒนากลไกดิจิทัลให้เชื่อมโยงข้อมูลอย่างมีแบบแผน และต่อยอดไปสู่การพัฒนาฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ซึ่งจะทำให้ภาครัฐและภาคธนาคารมีข้อมูลกลาง

สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม กรมธนารักษ์ และ... กระทรวง พม.-กลาโหม-ธนารักษ์ ผนึกกำลัง ยกระดับที่พักสวัสดิการเพื่อกำลังพลกระทรวงกลาโหม — สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม กรมธนารักษ์ และการเคหะแห่งชาติ ร่วมลงนาม...

ก.ไอซีที จัดประชุมระดมความคิดเห็นเพื่อจัดทำแนวทางการปรับปรุงกฎกระทรวงฯเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการอุปกรณ์และเครื่องมือด้าน ICT กับคนพิการทุกประเภท

นางสาวมาลี วงศาโรจน์ รองปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เปิดเผยว่า "กระทรวงไอซีทีได้จัดให้มีการประชุมเชิงปฏิบัติการระดมความคิดเห็น...

ก.ไอซีที เดินหน้าสร้างบุคลากรเพื่อพัฒนาเว็บไซต์ที่ทุกคนเข้าถึงได้

นายสมบูรณ์ เมฆไพบูลย์วัฒนา ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมและพัฒนาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการสื่อสาร กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดกิจกรรมอบรมการพัฒนาเว็บ...

ก.ไอซีที ออกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์การเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากไอซีที

นางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยว่า หลังจากประกาศใช้ พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการออกอนุบัญญัติ ได้แก่ กฎกระทรวง ประกาศ และระเบียบ...

กบข.ปรับกลยุทธ์ลงทุนใน-ต่างประเทศ

กบข.เตรียมปรับกลยุทธ์การลงทุนทั้งในและต่างประเทศ หลัง ครม.อนุมัติ “ ลงทุนตลาดหุ้น – อสังหาฯ – ลงทุนต่างประเทศ” เพิ่ม นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่าเมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติ...