“ธนาคารนครหลวงไทย” บุกตลาดสินเชื่อรายย่อยเปิดโครงการสินเชื่อบุคคลเพื่อการอุปโภคบริโภค

กรุงเทพฯ--6 มิ.ย.--ธ.นครหลวงไทย “ธนาคารนครหลวงไทย” บุกตลาดสินเชื่อรายย่อยเปิดโครงการสินเชื่อบุคคลเพื่อการอุปโภคบริโภค ธนาคารนครหลวงไทย บุกตลาดลูกค้ารายย่อย ออกโครงการสินเชื่อบุคคลเพื่อการอุปโภคบริโภคนำร่อง 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ SCIB SALARY PLUS และ SCIB CREDIT หวังครองใจลูกค้าและพนักงานให้ได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุด นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้ธนาคารฯ ได้เปิดตัวโครงการสินเชื่อบุคคลเพื่อการอุปโภคบริโภค เพื่อขยายฐานลูกค้ารายย่อย ให้ลูกค้าได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุด ซึ่งในปัจจุบันมีสถาบันการเงินแข่งขันกันเพื่อหาลูกค้ารายย่อยที่นิยมใช้สินเชื่อที่สามารถผ่อนชำระได้ (REVOLVING CREDIT) เป็นจำนวนมาก ดังนั้นเพื่อเป็นโอกาสและอีกทางเลือกหนึ่งของลูกค้าในสภาวะการแข่งขันของตลาดสินเชื่อรายย่อยในขณะนี้ ธนาคารฯ จึงได้ออกบริการ โครงการ SCIB SALARY PLUS และ SCIB CREDIT โครงการ SCIB SALARY PLUS เป็นโครงการให้สินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค ที่มุ่งกลุ่มลูกค้า ประเภทพนักงานของบริษัทที่รับเงินเดือนผ่านบัญชีของธนาคารฯ ตลอดจนพนักงานประจำของธนาคารฯ และบริษัทในเครือที่มีอายุงานไม่น้อยกว่า 1 ปี ผู้ขอกู้ต้องมีเงินเดือนสุทธิต่อเดือนตั้งแต่ 8,000.- บาท และมีอายุ 20 ปี ขึ้นไป ส่วนด้านวงเงินสินเชื่อ ให้ผู้ขอกู้ได้วงเงินไม่เกิน 5 เท่าของเงินเดือน มีวงเงินสูงสุดไม่เกิน 200,000.- บาท ส่วนโครงการ SCIB CREDIT เป็นโครงการให้สินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค ที่มุ่งกลุ่มลูกค้าประเภทลูกค้าเงินฝากออมทรัพย์ของธนาคารฯ ที่เป็นบุคคลธรรมดา และเปิดบัญชีมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี มียอดนำเงินฝากเข้าบัญชีตั้งแต่ 10,000.- บาท/เดือน ขึ้นไป ผู้ขอกู้ต้องมีรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 10,000.- บาทและมีอายุ 20 ปีขึ้นไป ส่วนด้านวงเงินสินเชื่อให้ผู้ขอกู้ได้วงเงินไม่เกิน 3 เท่าของรายได้ โดยมีวงเงินสูงสุดไม่เกิน 200,000.- บาท ทั้ง 2 โครงการข้างต้น ธนาคารฯ จะออกบัตรสินเชื่อ SCIB SALARY PLUS / SCIB CREDIT ให้ลูกค้าใช้เบิกเงินสด (ภายในวงเงินที่ธนาคารฯ อนุมัติ) จากเครื่อง ATM มากกว่า 5,000 เครื่องทั่วประเทศ ในแต่ละเดือนธนาคารฯ จะตัดเงินจากบัญชีของลูกค้าในจำนวนเพียง 5% ของยอดการเบิกเงินทั้งหมด และยอดตัดบัญชีขั้นต่ำ 500.- บาท จุดเด่นของทั้ง 2 โครงการคือ ไม่ต้องมีการค้ำประกันใดๆ ทั้งสิ้น และลูกค้าสามารถใช้วงเงินได้ทันที หรือเก็บไว้ใช้ยามจำเป็นกรณีฉุกเฉิน โดยจ่ายค่าธรรมเนียมรายปี เพียงปีละ 500.- บาท ซึ่งธนาคารฯ จะไม่มีการคิดดอกเบี้ยจากลูกค้าจนกว่าลูกค้าจะมีการเบิกเงินสด นายอภิศักดิ์ ได้กล่าวต่อไปว่า สำหรับโครงการทั้ง 2 นี้ นับเป็นการนำร่องของการบุกตลาดการปล่อยสินเชื่อรายย่อยของธนาคารนครหลวงไทย เพราะนอกจากจะเป็นการเพิ่มรายได้จากค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยให้กับธนาคารฯ แล้ว ยังเป็นการรองรับเป้าหมายรวมของการปล่อยสินเชื่อที่ธนาคารฯ ได้ตั้งไว้คือ 5,000.- ล้านบาทอีกด้วย ซึ่งในปัจจุบัน เรามีลูกค้าที่เป็นบริษัทจ่ายเงินเดือนพนักงานผ่านบัญชีธนาคารฯ จำนวน 224 บริษัท มีจำนวนพนักงานทั้งสิ้นประมาณ 30,000 คน และคาดว่าจะมีลูกค้าที่สนใจโครงการนี้เป็นจำนวนมาก--จบ-- -สส-

• ข่าวนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์
• ข่าวอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์
• ข่าวธนาคารนครหลวงไทย
• ข่าวธนาคารนครหลวง
• ข่าวนครหลวงไทย