กรุงเทพฯ--10 มิ.ย.--Twentieth Century Fox and DreamWorks
นักแสดง
จากผลงานภาพยนต์สร้างชื่อเรื่องแรกในปี 1981 Taps ทอม ครูซ (จอห์น แอนเดอร์ตัน) ผ่านประสพการณ์อันโดดเด่นในวงการบันเทิงมากมาย และยังไม่มีทีท่าจะหยุดนิ่งหลังจากผ่านมาแล้ว 20 ปี
เริ่มฉายแววดาราแนวหน้าในปี 1983 จากการได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำในเรื่อง Risky Business ครูซได้สร้างคาแร็คเตอร์แห่งความทรงจำในยุค 80 จากบทบาทมาเวอริค ในหนังทำรายได้อันดับหนึ่งแห่งปี 1986 Top Gun ซึ่งทำให้เขาได้กลายเป็นดาราที่ร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งในฮอลลีวู้ด และประดับชื่อไว้ในผลงานอีกหลากหลาย ซึ่งรวมถึงผลงานระดับตุ๊กตาทอง Rain Man and The Color Of Money, รวมทั้ง All The Right Moves, Legend, Cocktail, Days of Thunder, Far And Away, The Firm และ Interview With The Vampire.
ในปี1989 ครูซได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัล ออสการ์ตัวแรกของเขา ในฐานะดารานำชายยอดเยี่ยม และได้รับรางวัลลูกโลกทองคำจากบทบาทในเรื่อง Born on the Fourth of July และยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลในปี 1992 ในหนังของร็อบ ไรเนอร์, A Few Good Men ครูซเบนเข็มสู่การอำนวยการสร้างในปี 1993 ร่วมกับหุ้นส่วน พอลล่า แวกเนอร์ ในการจัดตั้ง ครูซ/แวกเนอร์ โปรดักชั่น ในปี 1996 พวกเขามีผลงานสร้างหนังยอดฮิต Mission: Impossible และในปีเดียวกัน ครูซร่วมทีมกับคาเมรอน โครว์ ผู้ประพันธ์/กำกับการแสดง ในหนังเรื่องดัง Jerry Maguire ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลตุ๊กตาทองเป็นครั้งที่สองในฐานะดารานำชายยอดเยี่ยม และได้รับรางวัลลูกโลกทองคำครั้งที่สอง ทั้งครูซและแวกเนอร์ ได้รับการฉลองในปี 1997 ในฐานะ Producer's Guild of America ซึ่งพวกเขาได้รับรางวัล Nova Award ในฐานะ Most Promising Producers in Theatrical Motion Pictures ปีถัดมามีผลงานสร้างของครูซ/แวกเนอร์ ในภาพยนต์ชื่อดังเรื่อง Without Limits เขียนบทโดยเจ้าของรางวัลออสการ์ โรเบิร์ต ทาวน์ จากเรื่อง Chinatown
อีกครั้งที่เขาได้พิสูจน์ความสามารถด้านการแสดง ในปี 1999 เมื่อครูซแสดงหนังดราม่าเรื่อง Magnolia ซึ่งได้รับทั้งคำชมและวิจารณ์จากผู้ชมอย่างมากมาย ความสามารถทางการแสดงที่ยอดเยี่ยมของเขาทำให้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลตุ๊กตาทองและได้รับรางวัลลูกโลกทองคำเป็นครั้งที่สาม ครั้งนี้ในฐานะดาราสนับสนุนชายยอดเยี่ยม
ครูซต้อนรับปี 2000 ด้วยการรั้งตำแหน่งผู้อำนวยการสร้าง แลพแสดงนำในภาคต่อของหนังเรื่องฮิต Mission: Impossible 2 ซึ่งทำให้ ครูซ/แวกเนอร์ โปรดักชั่นกลายเป็นหนึ่งในฟรานไชส์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ทำรายได้มากกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญถึงปัจจุบัน เมื่อต้นปีนี้ทางบริษัทมีผลงานสร้างที่ได้รับความสำเร็จอย่างสูง เรื่อง The Others เป็นการร่วมงานครั้งแรกของครูซและ ผู้กำกับการแสดง อเลจันโดร อเมนาบา ซึ่งเป็นผู้เขียนและกำกับเรื่อง Abre Los Ojos, หนังสเปนโรแมนติคระทึกขวัญ ซึ่งเป็นต้นตอของหนังเรื่องล่าของเขา Vanilla Sky Vanilla Sky เป็นการร่วมงานครั้งที่สองของครูซและผู้เขียน/ผู้กำกับ คาเมรอน โครว์
สิ่งที่เปรียบเสมือนคำรับรองของชื่อเสียงและความนิยมที่ครูซได้รับ ก็คือรางวัลมากมายอันเป็นมาตรฐานของวงการบันเทิง มีทั้งที่ได้รับ และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัล อาทิเช่น : Blockbuster Entertainment Awards, British Academy Awards, Chicago Film Critics Association, MTV Movie Awards, Golden Satellite Awards, National Board of Review, People's Choice Awards, Screen Actors Guild Awards และ Kid's Choice Awards
ในปี 1987 ShoWest Convention ยอมรับครูซ ในฐานะ Box Office Star of the Year และในปี 1990 อเมริกัน ซีเนม่า ได้มอบรางวัล Distinguished Achievement Award ให้แก่เขา และครูซได้รับรางวัล Hasty Pudding Man of the Year จาก Harvard University ในปี 1994; และในปี 1996 เขาได้รับรางวัลทรงเกียรติ American Cinematheque Award จากผลงานยอดเยี่ยมในการทุ่มเทให้กับศิลปะภาพยนต์และวิดีโอ และในปี 1998 มูลนิธิ Artist Rights ได้มอบรางวัล John Huston Award ให้แก่ครูซ ซึ่งเป็นรางวัลเกียรติยศซึ่งมอบให้แก่ผู้ที่มีชื่อเสียงในการรักษาความสมบูรณ์แห่งการทำงานศิลปะ
ในฐานะนักแสดง ครูซได้สร้างชื่อเสียงในความเป็นหนึ่งและสามารถ ในการร่วมงานกับผู้สร้างมากมาย รวมถึง สแตนลีย์ คูบริค, มาร์ติน ซอสเซส, คาเมรอน โครว์, จอห์น วู, ไบรอัน เดอ พาลมา, รอน โฮเวิร์ด, นีล จอร์แดน, โทนี่ สก็อต, ริดลีย์ สก็อต, ร็อบ ไรเนอร์, ซิดนีย์ พอลลาร์ค, แบรี่ เลวินสัน, โอลิเวอร์ สโตน และสตีเว่น สปีลเบิร์กส เขายังเคยได้ผ่านการร่วมงานกับนักแสดงชื่อดัง เช่น ดัสติน ฮอฟแมน, คิวบา กู้ดดิ้ง จูเนียร์, เรเน่ เซลเวจเจอร์, แบรด พิทท์, จูเลียน มัวร์, ยีน แฮกแมน, แจ็ค นิโคลสัน และพอล นิวแมน ทอม ครูซ มีผลงานมากกว่า 24 เรื่อง และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์มาเกือบ 40 ครั้งจากผลงานเหล่านั้น และสร้างรายได้กว่าสองพันล้านเหรียญ สมควรแก่การจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ภาพยนต์ฮอลลีวู้ด
ชาวไอร์แลนด์โดยกำเนิด คอลิน ฟาร์เรล (แดนนี่ วิทเวอร์) เข้าสู่ความสนใจของผู้ชมชาวอเมริกันในหนังของโจเอล ชูมาร์เกอร์ เรื่อง Tigerland ฟาร์เรลได้รับรางวัลดารานำชายยอดเยี่ยมจาก Boston Film Critics จากการสวมบทบาททหารคัดเลือกในบู๊ตแคมป์ระหว่างสงครามเวียดนาม ล่าสุดได้ร่วมแสดงกับบรูซ วิลลิสในเรื่อง Hart's War
ความฝันในวัยเยาว์ของฟาร์เรล คือการตามรอยเท้าบิดาของเขาในการเป็นนักฟุตบอล อย่างไรก็ดี เขาได้เบนความสนใจสู่การแสดง และเข้าศึกษาที่ Gaiety School of Drama ในดับลิน ก่อนจบการศึกษา เขาได้รับบทในมินิซีรี่ส์ของเดียเดอร์ เพอร์เซล เรื่อง Falling for a Dancer และแสดงในซีรี่ส์ของ BBC เรื่อง Ballykissangel นอกเหนือจากการแสดงภาพยนต์ให้กับการกำกับเรื่องแรกของ ทิม ร็อธ เรื่อง The War Zone ซึ่งตามมาภายหลัง
ล่าสุด เขาได้ร่วมแสดงในหนังแก็งสเตอร์ดับลิน ของทาดีอุส โอ ซุลลิแวน เรื่อง Ordinary Decent Criminal กับเควิน สเปซี เขายังมีผลงานบทเจสซี่ เจมส์ ในเรื่อง American Outlaws เขายังแสดงให้กับผู้กำกับ เจมส์ โฟลีย์ ใน The Farm เมื่อเร็วๆนี้ กับอัล ปาชิโน และจะมีผลงานเรื่อง Phone Booth, หนังระทึกขวัญซึ่งจะเป็นการกลับมาร่วมงานกับผู้กำกับ โจเอล ชูมาร์กเกอร์
ซาแมนธา มอร์ตัน (อกาธ่า) ล่าสุดปรากฎผลงานในหนังเรื่อง Jesus' Son, กำกับการแสดงโดยอลิสัน แมคลีน และคู่กับชอน เพนน์ ในเรื่อง Sweet and Lowdown ของวูดดี้ เอลเลน ซึ่งเธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลตุ๊กตาทอง ในปี 2000ผลงานภาพยนต์เรื่องแรกของเธอ คือหนังของคารีน แอดเลอร์ เรื่อง Under the Skin ซึ่งได้รับคำชมอย่างกว้างขวาง และเป็นผลงานที่สร้างความสำเร็จให้กับเธอ กระทั่งได้รับโหวตเป็นดารานำหญิงยอดเยี่ยม โดย The Boston Society of Film Critics และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลดารานำหญิงยอดเยี่ยมใน British Independent Film Awards ในปี 1998 เธอได้แสดงในหนังของบรูซ เบเรสฟอร์ด เรื่อง Boswell for the Defense; เรื่อง Pandaemonium โดยจูเลียน เท็มเปิล; เรื่อง Eden โดยอามอส กิตเต้ ; เรื่อง This is the Sea, กับเกเบรียล เบิร์น, เรื่อง Dreaming of Joseph Lees, กับรูเพิร์ต เกรพ, และเรื่อง The Last Yellow, กำกับการแสดงโดยจูเลียน ฟาริโน ผลงานเด่นของเธอยังมีภาพยนต์สร้างเพื่อโทรทัศน์ เรื่อง Jane Eyre (เป็นเจน แอร์), เรื่อง Tom Jones (ให้กับ BBC TV), และมินิซีรี่ส์ เรื่อง Emma, จากนวนิยายของเจน ออสเตน
ผลงานของมอร์ตันที่กำลังจะออกฉายของจิม เชอริแดน คือ East of Harlem และเรื่อง Morvern Callar ของลิน แรมเซย์
แม็กซ์ วอน ซิโดว์ (ลามาร์ เบอร์กีส) นักแสดงผู้เป็นที่รู้จักในนานาประเทศจากผลงานหนังกว่า 100 เรื่อง ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลตุ๊กตาทอง ในฐานะผู้แสดงนำชายยอดเยี่ยม ในปี 1988 จากเรื่อง Pelle the Conqueror, หนึ่งในสี่นักแสดงชายที่ได้รับเกียรติในการรับบทในภาษาต่างประเทศ เป็นที่รู้จักดีในหมู่อเมริกันชนที่นิยมการชมภาพยนต์ ในบทบาทมากมายเกี่ยวข้องกับเรื่องวิญญาน ไม่ว่าจะเป็นบทผู้แกะรอยใน What Dreams May Come, หลวงพ่อเมอร์รินใน The Exorcist, พระผู้ทรหดใน Hawaii, และบทพระเยซูในหนังอเมริกันเรื่องแรกของเขา, The Greatest Story Ever Told.
วอน ซิโดว์ รับบทหลากหลายจากหนังมากมาย ยกตัวอย่าง เช่น Snow Falling on Cedars, Non Ho Sonno (I Can't Sleep), Judge Dredd, Hannah and Her Sisters และ Duet For One และจากเรื่องราวประทับใจจากบทคนใจแคบในหนังของซิดนีย์ พอลลาร์ค ในปี 1975 เรื่อง Three Days of the Condor เขายังเคยมีผลงานในเรื่องดังอย่าง Conan the Barbarian, เจมส์ บอนด์ ตอน Never Say Never Again และ Flash Gordon
จากผลงานมากมายตลอดระยะเวลาห้าทศวรรษ และหลากหลายภาษา วอน ซิโดว์ เป็นที่รู้จักมากที่สุดร่วมกับผู้กำกับผู้ยิ่งใหญ่แห่งสวีเดน อิงก์มาร์ เบิร์กแมน ซึ่งมีผลงานคลาสสิคสิบเรื่อง รวมถึง The Seventh Seal, The Virgin Spring, Winter Light, Hour of the Wolf และ The Magician เขายังได้ร่วมแสดง (กับลิฟ อุลแมน) ในหนังยอดนิยมสองเรื่อง กำกับการแสดงโดย แจน โทรเอล เรื่อง The Emigrants และ The New Land หนังของโทรเอลเรื่องหลัง Hamsun, ทำให้เขากวาดรางวัลดารานำชายยอดเยี่ยมหลายรางวัลในยุโรปวอน ซิโดว์ เป็นผู้ใฝ่ใจการเรียน และรักการอ่าน เป็นบุตรชายของศาสตราจารย์แห่ง Royal University of Lund ซึ่งเขาเกิดและเติบโตขึ้นที่นั่น เขาเริ่มการแสดงกับละครนักเรียน หลังจากพ้นราชการทหาร เขาสมัครเข้าศึกษาที่ Royal Academy ในสจ็อกโฮล์ม และขณะเรียนอยู่นั้นได้มีผลงานแสดงหนังสองเรื่องกับปรมาจารย์ อัลฟ โจเบิร์ก (Only a Mother and Miss Julie) เขาเริ่มทำงานละครประจำในสวีเดนหลังจบการศึกษา และภายในเวลาสี่ปีได้กลายมาเป็นนักแสดงชาวสวีเดนที่มีชื่อเสียง และเขาได้รับ Royal Foundation Culture Award ในปี1954 เมื่ออายุได้ 25 ปี
ในปี1955 เขาเข้าร่วมงานที่ Malmo Municipal Theatre ซึ่งอิงก์มาร์ เบิร์กแมนเป็นผู้กำกับใหญ่ เบิร์กแมนกำกับละครซึ่งเขาแสดง อาทิเช่น Cat on a Hot Tin Roof, Peer Gynt และ Faust. หนังเรื่องแรกของพวกเขา คือ The Seventh Seal (1956) เรื่องราวในตำนานซึ่งวอน ซิโดว์ได้รับเลือกให้แสดงเป็น อัศวินผู้เห็นความเป็นจริง ซึ่งเล่นหมากรุกกับผู้อยู่ในชุดดำตัวแทนแห่งความตาย หนังเรื่อง Seventh Seal ได้รับรางวัลพิเศษที่ Cannes Film Festival ในปี1957 และประสบความสำเร็จอย่างสูงที่งานแสดงศิลปะอเมริกัน สามปีต่อมา จากการร่วมงานของวอน ซิโดว์และเบิร์กแมนอีกครั้ง เรื่อง The Virgin Spring, ได้รับรางวัลตุ๊กตาทอง ในด้าน Best Foreign Film Oscar แม้เขาจะใช้ฝรั่งเศสเป็นบ้านของเขาและภรรยา ผู้สร้างหนังสารคดี แคทเธอรีน เบรเล็ต เจ้าตัวก็อยู่ในสภาวะที่ต้องเดินทางไปถ่ายทำทั่วโลก ผลงานทางโทรทัศน์ในต่างประเทศได้แก่ : Citizen X (HBO), The Last Place on Earth (U. K.'s Central Television), Radetzky March (Progefi) และล่าสุด, Solomon for Lux และ The Princesss and the Pauper ของ Anfri, ในอิตาลีทั้งคู่ คำขอจากสแกนดิเนเวียจะได้รับการตอบรับเป็นพิเศษ เมื่อผู้กำกับภาพชื่อดังอย่าง สเวน นิกสวิสท์ ได้มีผลงานกำกับการแสดงครั้งแรกของเขา ในเรื่อง The Ox เขาไปอยู่ที่นั่นด้วย เพื่อให้ความช่วยเหลือ และเช่นเดียวกันกับ บิล ออกัสท์ ในเรื่อง The Best Intentions. เขายังได้ตอบรับคำขอจากผู้กำกับการแสดงชาวเดนมาร์ค ลาร์ วอน ทรีเออร์ ในเรื่อง Zentropa.
การแสดงครั้งเดียวของวอน ซิโดว์ เป็นลิขสิทธิ์ที่ถูกต้องของความเป็นนักแสดงชาวสแกนดิเนเวียที่ได้มอบให้กับโลก
(ยังมีต่อ)