กรุงเทพฯ--22 ต.ค.--กทม.
ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 45 เวลา 11.00 น. ที่ผ่านมา ในกิจกรรม "พบกัน จันทร์ละหน คนกับข่าว ครั้งที่ 64" สถานธนานุบาลกรุงเทพมหานคร นำโดยนายชาญ ปฏิมาภรณ์ชัย ผู้อำนวยการสำนักงานสถานธนานุบาลกรุงเทพมหานคร แถลงข่าว ผลการดำเนินงานปี 2545 แผนการขยายสาขาเพิ่ม การเพิ่มวงเงินรับจำนำ การจัดเตรียมเงินรับช่วงเปิดเทอม และเว็บไซต์ของ สธก.
รวมยอดรับจำนำกว่า 3,400 ล้านบาท
ผู้อำนวยการสำนักงานสถานธนานุบาลกทม. เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2545 (ต.ค. 44 - ก.ย. 45) ของสถานธนานุบาลกทม. ที่เปิดให้บริการ ทั้ง 20 แห่ง มียอดรับจำนำทั้งสิ้น 3,420.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 72.3 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเติบโตที่เพิ่มขึ้น 2.16% และมียอดการไถ่ถอน 3,256.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 79 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเติบโตที่เพิ่มขึ้น 2.49%
สำหรับทรัพย์หลุดจำนำซึ่งไม่มีผู้มาไถ่ถอนคืนในปี 2545 จำนวน 26,520 ราย เป็นจำนวนเงิน 130.50 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 16.87 ล้านบาท (11.45%) โดยยังมียอดสต็อกของรอการไถ่ถอน จำนวน 141,057 ราย เป็นจำนวนเงินสูงถึง 1,037.80 ล้านบาท มากกว่าปีที่แล้ว 34.23 ล้านบาท (3.41%)
กำไรพุ่งเฉียด 140 ล้านบาท
การดำเนินการดังกล่าวทำให้สถานธนานุบาลทำให้สำนักงานสถานธนานุบาลกทม. มีกำไรสุทธิในปี 2545 จำนวน 139.23 ล้านบาท มากกว่าปี 2544 จำนวน 5.04 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้น 3.76% โดยมีรายรับ 200.03 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 267,026 บาท (-0.13%) ขณะที่รายจ่ายลดลง 5.31 ล้านบาท จากปีก่อนมีรายจ่าย 66.11 ล้านบาท ปีนี้มีรายจ่าย 60.80 ล้านบาท ส่วนหนี้สิน ณ สิ้นปีงบประมาณ 2545 มีจำนวน 325 ล้านบาท น้อยกว่าปีก่อน 49 ล้านบาท ลดลง 13.10%
อย่างไรก็ดีการดำเนินงานของสถานธนานุบาลกทม. มิได้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการแสวงหาผลกำไรอย่างการดำเนินธุรกิจทั่วไป แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อสงเคราะห์ผู้มีรายได้น้อยให้สามารถแก้ไขปัญหาการเงินในระยะสั้นๆ ได้ แต่ผลกำไรที่เกิดขึ้นเนื่องจากโรงรับจำนำทั้ง 20 แห่งมีผู้มาใช้บริการเป็นจำนวนมาก เพราะคิดอัตราดอกเบี้ยต่ำ นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการไม่สูงจึงทำให้มีผลกำไร
เปิดกลยุทธ์ให้วงเงินสูง 87.5% ของราคาของจำนำ
อย่างไรก็ตามแม้ในปีนี้จะมีผลกำไรเพิ่มขึ้น แต่มีอัตราการเพิ่มน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ ที่กำไรจะเพิ่มกว่า 10% นอกจากนี้ยังมีจำนวนผู้ใช้บริการลดลง 2.93 % จากปีก่อนมีผู้ใช้บริการ 495,643 คน ปี 2545 มีผู้ใช้บริการ 481,103 ราย ซึ่งจากการวิเคราะห์สาเหตุที่มีผู้ใช้บริการลดลง คาดว่าเนื่องจากประชาชนมีกองทุนชุมชน และโครงการธนาคารประชาชนของธนาคารออมสิน ตามนโยบายรัฐบาลเป็นทางออกอีกทางหนึ่ง ดังนั้นสถานธนานุบาลกทม. จึงมีการปรับกลยุทธ์ใหม่ โดยการเพิ่มวงเงินให้แก่ผู้ใช้บริการ เป็น 87.5% ของราคาของที่จำนำ จากเดิมที่ให้ 85% ของราคาของ ซึ่งจากการให้วงเงินเพิ่มในเดือน ก.ย.45 ที่ผ่านมา มียอดผู้ใช้บริการเพิ่มถึง 42 ล้านบาท
เล็งขยายสาขาโรงรับจำนำเพิ่ม
ปัจจุบันการใช้บริการโรงรับจำนำของกทม.ยังคงได้รับความนิยมสูง เนื่องจากคิดอัตราดอกเบี้ยต่ำ เมื่อรวมทั้ง 20 แห่งมียอดผู้ใช้บริการ 481,103 ราย โดยสาขามีนบุรีมีผู้ใช้บริการมากที่สุด 53,293 ราย คิดเป็นวงเงิน 21.614 ล้านบาท รองลงมาสาขาเทเวศน์ จำนวน 44,191 ราย คิดเป็นวงเงิน 18.084 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเป็นที่พึ่งพาในยามยากของผู้มีรายได้น้อยเป็นอย่างดี ดังนั้นสถานธนานุบาลฯจึงมีแผนการขยายโรงรับจำนำเพิ่มขึ้นอีก 17 แห่ง ภายใน 5-6 ปี ข้างหน้า โดยในระยะแรกจะสามารถนำงบประมาณจากกำไรสะสมมาใช้ในการก่อสร้างโรงรับจำนำใหม่ได้ 3 แห่ง ซึ่งจะสร้างในพื้นที่เขตสัมพันธวงศ์ (อยู่ระหว่างประกวดราคา) เขตบึงกุ่ม และเขตทุ่งครุ
อย่างไรก็ดีการขยายสาขาเพิ่มต่อๆ ไปนั้น จำเป็นต้องมีเงินลงทุนในการก่อสร้างและเงินทุนหมุนเวียน ประมาณ 70 ล้านบาท/สาขา ซึ่งทางธนาคารทหารไทยและธนาคารกรุงไทยพร้อมที่จะปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำให้โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน ในระยะหนี้ 10 ปี โดยปลอดหนี้ 2 ปีแรก และผ่อนชำระในปีต่อไป ซึ่งการจะกู้เงินจากธนาคารได้ต้องขอความเห็นชอบจากสภากทม. ก่อน ทั้งนี้ที่ผ่านมาสภากทม. ได้สนับสนุนให้สถานธนานุบาลกทม. ขยายสาขาเพิ่มขึ้น เนื่องจากเห็นว่าเป็นองค์กรที่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ แบบ Self Supporting Organization
เตรียม 350 ล้านบาทรับเปิดเทอม
ในช่วงเปิดภาคเรียนในเร็วๆ นี้ คาดว่าจะมีผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมาก เหมือนเช่นการเปิดเทอมทุกๆ ครั้งนั้น ผู้อำนวยการสำนักงานสถานธนานุบาลฯ กล่าวว่า สถานธนานุบาลกทม. ได้เตรียมเม็ดเงินไว้ประมาณ 350-400 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการของคนกรุงเทพฯ โดยยังคงให้บริการในอัตราดอกเบี้ยต่ำเช่นเดิม กล่าวคือ วงเงินจำนำต่ำกว่า 3,000 บาท จะคิดอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.75% ต่อเดือน หรือเท่ากับ 9% ต่อปี ส่วนวงเงินกู้เกิน 3,000 บาทจะคิดอัตราดอกเบี้ย 2,000 บาทแรก 2% ต่อเดือน ส่วนที่เกินจาก 2,000 บาท 1.25% ต่อเดือน ทั้งนี้ปัจจุบันทางสถานธนานุบาลกทม. มีเงินหมุนเวียนอยู่กว่า 1,000 ล้านบาท โดยเป็นเงินจากกำไรสะสมกว่า 700 ล้านบาท และเงินกู้จากกองทุนข้าราชการบำเหน็จบำนาญอีกกว่า 300 ล้านบาท จึงไม่มีปัญหาสภาพคล่องอย่างแน่นอน
เปิดเว็บไซต์ www.pawnshop.bma.go.th
ผู้อำนวยการสำนักงานสถานธนานุบาลกทม. กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ สธก.ได้พัฒนาเว็บไซต์ขึ้นใหม่ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น ซึ่งผู้สนใจสามารถเข้าไปชม และรับทราบข้อมูลต่างๆ ของสธก. และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งข้อมูลของทรัพย์หลุดจำนำที่จะขายทอดตลาดได้ที่ www.pawnshop.bma.go.th ทั้งนี้ สธก. จะมีการประมูลของหลุดจำนำทุกสัปดาห์ สำหรับเครื่องประดับจะมีการประมูลทุกวันเสาร์ที่ 2, 3 และ 4 ของเดือน ที่ศาลาว่าการกทม.2 ดินแดง เวลา 9.00 น. เป็นต้นไป ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าจะมีการประมูล 3 แห่ง ได้แก่ ที่ กทม. 2 ในวันเงินเดือนออกของข้าราชการ ทุกวันเสาร์แรกของเดือนที่สนามหลวง 2 ธนบุรี และทุกวันเสาร์สุดท้ายของเดือนที่ตลาดนัดจตุจักร 2 (มีนบุรี)--จบ--
-นห-