กรุงเทพฯ--17 ต.ค.--ฟิลม์บางกอก
ฟิล์มบางกอก ภูมิใจเสนอ พรางชมพู 'กะเทยประจัญบาน'
ข้อมูลภาพยนตร์
เรื่องย่อ
บนสมรภูมิสู้รบเดือดของชนกลุ่มน้อยบริเวณรอยต่อชายแดนไทย ...ความขัดแย้งจนเลือดพล่านผสานความฮาแตก ระเบิดขึ้นเมื่อเครื่องบินลำหนึ่งร่วงลงอย่างไม่คาดฝัน ปล่อย 6 กะเทยผู้รอดชีวิตให้จิตตกระหกระเหินสะเทินน้ำสะเทินบกอยู่กลางป่า ร้อนถึงทหารนอกราชการต้องรับภารกิจไม่ธรรมดา ด้วยการบุกป่าฝ่าดงข้ามเขตสู้รบเข้าไปช่วยพวกเธอให้รอดกลับบ้านเกิดได้โดยสวัสดิภาพ
ผู้กองหนุ่มไฟแรง ผู้กองสมพงษ์ (พุฒิชัย อมาตยกุล) รับหน้าที่นำหน่วยทหารเฉพาะกิจครั้งนี้ เพื่อออกปฏิบัติการอันแสนจะไร้สาระในสายตาของ จ่าเริง (สรพงษ์ ชาตรี) ทหารรุ่นดึกผู้จงเกลียดจงชังสาวประเภทสองเข้าไส้ โดยมี หมู่ปกรณ์ (โกวิทย์ วัฒนกุล) เป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญในหน่วย เหล่าทหารหาญมาดแมนทั้งหมดต้องเปิดฉากเจรจาต่อรองขอแลกตัว 6 กะเทยไทยใจกระตู้วู้ที่จับพลัดจับผลูตกเป็นเชลยของชนกลุ่มน้อยเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะอันไม่จำเป็น แต่แล้วแผนการเกิดผิดพลาดจนลุกลามเป็นเหตุให้เกิดการเข้าใจผิดกับกองกำลังรักษาดินแดนประเทศเพื่อนบ้าน ความปรารถนาที่จะได้กลับเมืองไทยอย่างสงบสุขของผู้รอดชีวิตกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการโจมตีกันอย่างดุเดือดระหว่างทหารหลายฝ่ายหลายชาติที่เกี่ยวข้อง
ในเวลาเดียวกับที่ศึกภายนอกดุเดือดสุดขีด ศึกภายในทั้งระหว่างกะเทยด้วยกันและกะเทยกับทหารก็เริ่มแสบร้อนเผ็ดมันตามไปด้วย เหล่าสาวๆที่นำโดย เกษม (เสรี วงษ์มณฑา), สมหญิง (อรนภา กฤษฎี), ชิชา (ธงธง มกจ๊ก) ซึ่งแตกต่างกันทั้งวัย นิสัย และความเลิศเลอเพอร์เฟ็คต์ของเรือนกาย ก่อวิวาทะแบ่งพวกแบ่งฝ่ายกันเองไม่วายเว้น สร้างความเหม็นเบื่ออย่างยิ่งยวดแก่จ่าเริงที่เกลียดกะเทยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ความขัดแย้งจึงยิ่งกลายเป็นจุดบั่นทอนให้การเดินทางของพวกเขาวุ่นวายยากเย็นขึ้นทุกที
การไล่ล่าของชนกลุ่มน้อยตามติดมากระชั้นชิด บีบคั้นให้ฝ่ายไทยต้องหลบหนีอย่างชุลมุนมาจนถึงจุดนัดพบ เพียงเพื่อจะได้รู้ความจริงว่า เฮลิค็อปเตอร์ที่ทางการรับปากไว้ว่าจะส่งมาช่วยนั้น ไม่มีวันมาตามที่พวกเขาคาดหวัง มีแค่คำสั่งง่ายๆแต่ทำตามยากเหลือร้าย นั่นคือ พวกเขาต้องดิ้นรนหาทางรอดกลับสู่มาตุภูมิกันเอาเอง!
แต่ท่ามกลางความขัดแย้งอันสุดป่วนหัวใจนี้ ....พวกเขาและพวกเธอจะเริ่มต้นการผจญภัยครั้งใหญ่กันอย่างไรที่ไม่เพียงแค่เพื่อรักษาชีวิตอันมีค่าของตัวไว้ แต่ยังเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของทหารห้าวกับสาวประเภทสองให้โลกต้องจารึกไว้ด้วย?!!
ฟิล์มบางกอก ภูมิใจเสนอ 'พรางชมพู' ผลงานกำกับเข้มข้นครบเครื่องของเรียว กิตติกร ที่เคยประกาศฝีมือมาแล้วจากโกลคลับ เกมล้มโต๊ะ นำแสดงโดย สรพงษ์ ชาตรี, พุฒิชัย อมาตยกุล, รศ.ดร.เสรีวงษ์มณฑา, อรนภา กฤษฎี, ธงธง มกจ๊ก, ยลรตี โคมกลอง, ธีรดนัย สุวรรณหอม, ยืนยง โอภากุล, บริวัตร อยู่โต, โกวิทย์ วัฒนกุล, บดินทร์ ดุ๊ก, อรรถกร สุวรรณราช, ปริญญา งามวงศ์วาน, อำพล รัตนวงศ์ จากเรื่องและบทภาพยนตร์ฝีมือ สมหมาย เลิศอุฬาร กับ กิตติกร เลียวศิริกุล กำกับภาพโดย เดชา ศรีมันตะ เพลงประกอบภาพยนตร์โดย แอ๊ด คาราบาว บริหารงานสร้างโดย อังเคิล อดิเรก วัฏลีลา
ข้อมูลงานสร้าง
'พรางชมพู' ถือเป็นโครงการหนังที่ไม่ธรรมดาเลยสำหรับ เรียว - กิตติกร เลียวศิริกุล ผู้กำกับเจ้าของรางวัลสุพรรณหงส์ทองคำจากหนังวัยรุ่นสาระแน่นเรื่อง 'โกลคลับ' ซึ่งถ่ายทอดด้านมืดของการเล่นพนันฟุตบอลในหมู่วัยรุ่นได้อย่างเข้มข้น เรียวบอกว่า ประเด็นในโกลคลับ รวมถึงเรื่องราวเกี่ยวกับฟุตบอลนั้นเป็นสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว ขณะที่เรื่องของการผจญภัยของเหล่ากะเทยกลับเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคย และท้าทายอย่างมาก
"ผมคิดพล็อตของหนังเรื่องนี้ไว้ระยะหนึ่งแล้ว แต่ในตอนแรกไม่คิดว่าจะทำจริงๆได้เนื่องจากต้องใช้นักแสดงฝีมือดีจำนวนมาก ซึ่งย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายโดยเฉพาะโลเกชั่นทั้งหมดคือกลางป่า แต่หลังจากลองบอกเล่าความคิดของผมให้หลายๆคนฟัง ทุกคนทั้งเชียร์ทั้งยุให้ทำจึงทำให้ผมตัดสินใจพัฒนา 'พรางชมพู' ต่อทันที"
"หนังเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งชื่อพี่เอกเป็นกระเทยแล้วเกิดอุบัติเหตุเครื่องบินตกไฟล์ทเดียวกับนายเจมส์ เพื่อน ๆ ทุกคนเวลาไปเยี่ยมก็จะมีแต่คนหัวเราะเพราะเป็นกะเทยที่มันอึดจริง ๆ เครื่องตกยังไม่ตายอีก เรียวเปิดเผยต่อว่า เลยนำมาคิดต่อว่าเครื่องตกยังไม่สะใจต้องไปตกในสนามรบด้วยถึงจะมันส์"
ทหารผู้ยึดมั่นในความเป็นชายชาตรี กับเหล่ากะเทยผู้ชายที่ยึดมั่นในความเป็นหญิงเต็มรูปแบบ ...นี่คือ ความขัดแย้งของตัวละครที่เต็มไปด้วยความเข้มข้น และนำมาซึ่งความขบขันอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ "ผมวางพล็อตให้ที่สุดของสองขั้วมาอยู่รวมในหนังเรื่องเดียวกัน" ผู้กำกับหนุ่มอธิบาย "ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าเมื่อทำอย่างนั้นแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง และเพราะไม่รู้นี่เองที่ทำให้งานชิ้นนี้สนุกและท้าทายผมมาก"
ด้าน อังเคิล - อดิเรก วัฏลีลา บอสใหญ่แห่งค่ายฟิล์มบางกอก กล่าวว่า "ทันทีที่ผมได้ยินโปรเจ็คต์นี้ ผมไฟเขียวแบบไม่ต้องคิดเลยครับ แน่นอนว่าพรางชมพูเป็นหนังกะเทยและมีรูปลักษณ์ที่ไม่ได้เป็นหนังเสียดสีแต่แบ๊คกราวด์ของเรื่องที่เกิดในป่ากลางสมรภูมิรบเปิดโอกาสให้เราสามารถสอดแทรกปัญหาชนกลุ่มน้อยบริเวณตะเข็บชายแดนที่ทุกคนรับรู้อยู่ สาระความเป็นมนุษย์ในเรื่องทำให้ตัวหนัง ไม่ไร้สาระจนเกินไป ไม่ยากที่จะทำให้ผู้ชมหลาย ๆ กลุ่มสนใจ ปัญหาที่หนักใจอย่างที่สุดสำหรับวงการบันเทิงของไทยในปัจจุบัน ก็คือนักแสดงที่เหมาะสมและคิวของแต่ละคน แต่ทันทีที่ทุกคนได้รับการติดต่อเพื่อมารับบทต่าง ๆ ของหนังเรื่องนี้ ทุกคนยอมรับทันทีพร้อมกับเทคิวให้หมดแถมยังเร่งรีบคิวถ่ายให้มาถึงไว ๆ ด้วยใจจดจ่อ หนังเรื่องนี้จึงดำเนินไปอย่างสะดวกราบรื่นและรวดเร็วมาก ๆ วันนี้ก็มาถึงคิวของผู้ชมแล้วล่ะครับว่าจะพอมีเวลาว่างมาพิสูจน์พรางชมพู หนังเรื่องล่าสุดของฟิล์มบางกอกรึยัง"ในการที่หนังจะถ่ายทอดอารมณ์เหล่านี้ให้ผู้ชมรับรู้ได้อย่างเต็มที่นั้น ย่อมจำเป็นต้องอาศัยนักแสดงฝีมือดีที่เข้าใจในบุคลิกของตัวละครอย่างดีเยี่ยม เรียวเล็งเห็นเงื่อนไขดังกล่าวมาตั้งแต่แรก เขาจึงตัดสินใจเลือกทีมนักแสดงที่จะร่วมกันผลักดันเรื่องราวใน 'พรางชมพู' ให้น่าสนใจมากที่สุด " ในเรื่องของการคัดเลือกนักแสดงฝ่ายกะเทยซึ่งตามบทมีทั้งหมด 6 คนนั้น ผมนึกถึงนักแสดงมีฝีมือและเป็นสาวประเภทสองจริง ๆ ซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการบันเทิงระดับเป็นที่ยอมรับ ซึ่งก็ได้แก่ อ.เสรี วงษ์มณฑา, พี่ม้า - อรนภา กฤษฎี, ธงธง มกจ๊ก, ส้มโอ-ยลรตี, แจ็ค-บริวัตร และพี่ดุ๊ก-บดินทร์ ขณะที่นักแสดงฝ่ายทหาร ผมนึกถึงพี่เอก-สรพงษ์ ชาตรี, พี่เมา-โกวิทย์ วัฒนกุล และ กอล์ฟ-พุฒิชัย แล้วนักแสดงที่ติดใจในการแสดงจากเรื่องโกลคลับ"
ในแวดวงนางแบบมืออาชีพ ไม่มีใครไม่รู้จัก ม้า- อรนภา กฤษฎี ผู้รักษาตำแหน่งนางแบบระดับแถวหน้าไว้ได้ทั้งด้วยความสวยและความสามารถ ซึ่งประสบการณ์มากมายที่ได้รับตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้เองที่อรนภานำมาใช้กับการรับบท 'สมหญิง' หนึ่งในกะเทยผู้รอดชีวิตหลังเครื่องบินตกของ 'พรางชมพู' โดยเธอเล่าว่า "สังคมยุคนี้คนเริ่มเข้าใจกันมากขึ้นว่า ต้องมีคนกลุ่มนี้อยู่ในสังคม หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นเรามาร่วมกันทำให้สังคมน่าอยู่ขึ้นดีกว่า ซึ่งพี่ก็นำเอาประสบการณ์การถูกเอารัดเอาเปรียบที่เจอบ้างในแวดวงนี้นี่แหละมาใช้เวลาแสดง"
"สำหรับการรับบทสมหญิงนั้น พี่อยากให้คนดูอินมากๆ" อรนภาเปิดเผยถึงความมุ่งมั่นของเธอ "ภาพเดิมๆของพี่มันหลุดยากเพราะพี่เป็นนางแบบมานานและก็ไว้แต่ผมทรงนี้จนคนจำได้กันหมดแล้ว เมื่อพี่คิดจะเอาจริงเอาจังกับการแสดง ก็จะต้องลบภาพลักษณ์ให้ได้ ต้องทำให้คนดูเห็นพี่เป็นตัวละครตัวนั้นให้ได้ พี่จึงเปลี่ยนบุคลิกทุกอย่างหมดเลยในหนังเรื่องนี้ และก็โทรมเละเลย ไม่เน้นความสวย จะมีก็แค่เสื้อผ้าที่ดูหวือหวาหน่อยเพราะสมหญิงเป็นตัวละครประเภทสาวไฮโซ"
ไม่เพียงแต่รูปลักษณ์และบุคลิกเท่านั้นที่ต้องเปลี่ยนแปลงไป ในด้านการถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครที่ตกอยู่ในสถานการณ์ไม่ธรรมดา ก็นับเป็นภารกิจที่น่าตื่นเต้นอย่างมากสำหรับอรนภา ซึ่งเธอเล่าว่า "ปัญหาอย่างหนึ่งของสมหญิงก็คือ ปกติเราไม่เคยอยู่ในป่าที่ทุรกันดารมาก่อน และเรายังต้องถูกกดขี่ข่มเหงอีก ความรู้สึกของสมหญิงก็เลยปั่นป่วนและก็แย่มากถึงแม้จะมีความเข้มแข็งพอสมควร ซึ่งถึงตรงนั้นพี่ก็ต้องเล่นอารมณ์ของตัวละครออกมาให้ได้"
ความเข้มข้นของเรื่องราวใน 'พรางชมพู' ไม่เพียงเกิดจากความขัดแย้งภายในของตัวละครกะเทยที่ต้องมาตกระกำลำบากอย่างไม่คาดฝันเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นจากความขัดแย้งภายนอกระหว่างพวกเธอกับทหารนอกราชการผู้เกลียดชังสาวประเภทสองสุดหัวใจอย่าง 'จ่าเริง' ซึ่งรับบทโดยนักแสดงมือหนึ่ง สรพงษ์ ชาตรี ด้วย เขาเปิดเผยถึงเหตุผลที่ตัดสินใจมารับบทนี้ว่า "ผมรับเล่นหนังเรื่องนี้ก็เพราะเรื่องราวแปลกใหม่ดี ไม่เคยมีใครทำมาก่อน หลังจากได้อ่านบทแล้วผมก็ชอบเลยและตกลงทันที"
ความเกลียดชังกะเทยที่ 'จ่าเริง' มีนั้น เกิดขึ้นจากเหตุผลที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ซึ่งสรพงษ์อธิบายว่า "หนังเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นสภาพของสังคมครอบครัวในปัจจุบัน… พ่อแม่สมัยนี้จะกลัวกันมากว่าลูกตัวเองจะเป็นกะเทยเป็นทอมไปตามกระแสที่มาแรง เหมือนกับตัวละครของผมซึ่งเป็นทหารและตั้งใจจะให้ลูกชายเดินตามรอย แต่พอถึงเวลากลับพบว่า ลูกตัวเองเป็นกะเทย! ผมคิดว่าเรื่องราวของหนังบอกให้เราคิดว่า คนเป็นพ่อเป็นแม่นั้น แม้ว่าจะโกรธหรือเกลียดอย่างไรก็ต้องยอมรับในสิ่งที่ลูกของเราเป็น ขณะที่ในฝ่ายลูกก็จะได้คิดว่าไม่มีใครรักเราเป็นห่วงเราเท่ากับพ่อแม่ของเราหรอก แม้ว่าเขาจะโกรธจะไล่เรา แต่ในใจเขามีแต่ความรักและเป็นผู้ที่ให้ลูกมากที่สุดจริง ๆ ผมคิดว่า แม่ดุด่าลูกสักร้อยคำก็ยังมีค่ามากกว่าคำพูดที่หนุ่มสาวบอกกันว่า ผมรักคุณ ด้วยซ้ำ"
ธงธง มกจ๊ก หรือ คัชฑาเทพ เอี่ยมศิริ นักแสดงตลกขวัญใจลูกเด็กเล็กแดงทั่วประเทศผู้โด่งดังจากการสวมบทล้อเลียนพิธีกรหญิงรายการเกมโชว์ "กำจัดจุดอ่อน" เป็นอีกคนหนึ่งที่มาสร้างสีสันเผ็ดมันให้กับ 'พรางชมพู' ในบทสมาชิกกลุ่มกะเทยที่เป็นคู่กัดสุดแสบของสมหญิง ด้วยนิสัยปากไวตรงไปตรงมา ซึ่งธงธงเล่าว่า "บทของผมเป็นกะเทยแรด การศึกษาน้อย แต่เป็นคนตรง คิดยังไงพูดอย่างนั้น ตอนกลางวันขายของอยู่ซอยละลายทรัพย์ พอกลางคืนก็ไปเล่นตลกคาเฟ่ ...เป็นตัวละครที่โดยบุคลิกแล้วเล่นไม่ยาก แต่ความยากอยู่ตรงที่ผู้กำกับไม่อยากให้แสดงแบบโอเว่อร์มากๆ แต่ต้องการให้เล่นเนียนๆเหมือนกะเทยจริง"
แม้จะผ่านงานแสดงมาอย่างโชกโชน แต่ 'พรางชมพู' ก็นับเป็นงานที่ยากไม่น้อยสำหรับธงธง เพราะนี่เป็นหนังเรื่องแรกของเขา "ผมไม่เคยเล่นหนังมาก่อนซึ่งการถ่ายหนังไม่ได้ถ่ายวันเดียวเสร็จ แต่จะถ่ายแต่ละซีนข้ามไปข้ามมา ทำให้อารมณ์ไม่ต่อเนื่อง ผมจึงต้องใช้สมาธิค่อนข้างมากเพราะถ้าเราไม่ฟังนักแสดงคนอื่น เราก็จะไม่สามารถต่อบทได้เลยเนื่องจากผู้กำกับแค่วางบทเป็นเค้าโครงไว้เท่านั้น ปล่อยให้ผมไปใส่รายละเอียดและคำพูดต่าง ๆ แบบสด ๆ กันเองในฉาก บางทีก็มีการเพิ่มบทกันสด ๆ ด้วย ยิ่งนักแสดงหลาย ๆ ท่านเพิ่งจะมารู้จักกันในวันแรก อย่าง อ.เสรี วงษ์มณฑา นั้นตอนแรกผมก็กลัว ๆ เพราะท่านเป็นถึงด๊อกเตอร์แต่พอได้คุยกันก็สนิทกันเร็วมากครับ"
ประสบการณ์การแสดงหนังเรื่องแรกสร้างความสนุกสนานและภาคภูมิใจแก่ธงธงมาก โดยเฉพาะเมื่อเป็นหนังเรื่องนี้ที่เขาบอกว่า "ไม่ได้เน้นฮาอย่างเดียวหรือยิงกันอย่างเดียว แต่มีหลายรสชาติรวมกันเหมือนต้มยำซึ่งผมบอกได้เลยว่าอร่อย และผมเชื่อว่าหนังจะต้องถูกใจแฟน ๆ ทุกกลุ่มแน่นอน"การมีโอกาสได้ร่วมงานกับนักแสดงรุ่นใหญ่และบุคคลที่เปี่ยมด้วยความสามารถ ก็สร้างความภาคภูมิใจให้แก่ กอล์ฟ - พุฒิชัย อมาตยกุล เช่นกัน นักแสดงหนุ่มที่แจ้งเกิดมาจากละครเรื่องปลายเทียนหนังเรื่อง 'แม่เบี้ย' ผู้นี้รับบทเป็นผู้นำหน่วยทหารเฉพาะกิจออกปฏิบัติการช่วยชีวิต 6 กะเทยกลางป่า ซึ่งพุฒิชัยกล่าวว่า "ผมถือเป็นประสบการณ์ที่ดีที่ได้มาร่วมงานกับปรมาจารย์อย่างพี่เอก สรพงษ์, อ.เสรี, พี่ม้า อรนภา และพี่ๆอีกหลายท่าน ซึ่งทำให้ผมได้เรียนรู้มากมายเลยครับ"
บดินทร์ ดุ๊ก นักแสดงฝีมือดี มารับบทเป็นอีกหนึ่งสมาชิกในกลุ่ม 6 กะเทยซึ่งมีความพิเศษตรงที่เป็นชนชาติญี่ปุ่น ผู้ต้องตกมาอยู่ในสถานการณ์ซึ่งเธอไม่เคยรับรู้และไม่เข้าใจอย่างสิ้นเชิงแตกต่างทั้งภาษาและวัฒนธรรม "เราไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย อาจจะสงสัยด้วยความคิดของตัวเองแต่ก็ไม่แน่ใจว่าถูกหรือเปล่า" บดินทร์กล่าว "อย่างทหารมายิงกัน เราก็ไม่รู้ว่ายิงกันทำไม หรือทำไมทหารต้องเอาปืนไปจ่อพวกกะเทยด้วย ...ก็นับเป็นบทที่ยากนะเพราะในความจริงเรารู้ แต่ต้องแสดงว่าเราไม่รู้เรื่อง"
การกลับมาแสดงหนังอีกครั้งของบดินทร์ ดุ๊ก นับเป็นการตัดสินใจที่ไม่ธรรมดา เพราะเขาว่างเว้นจากการทำงานในสื่อนี้มานานทีเดียว เขาบอกว่า "ผมไม่ได้เล่นหนังมานานมากแล้วจึงคิดถึง ยิ่งทุกวันนี้หนังเปลี่ยนไปมาก ภาพสวยขึ้น เทคนิคดีขึ้น แตกต่างจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิงทั้งเรื่องมุมภาพหรือแสงสี มีการลงทุนเยอะขึ้น โปรดัคชั่นดีขึ้นมาก วิธีการทำงานก็แตกต่างไปจากเดิม และที่สำคัญ วงการหนังมีความกล้าคิด กล้าแหวกจากสิ่งที่เคยเป็นอยู่ ตัวอย่างเช่นหนังเรื่อง 'พรางชมพู' นี่แหล่ะที่ถือว่าแหวกแตกต่างมากทีเดียว"
นอกเหนือจากนักแสดงนำที่กล่าวมาแล้ว 'พรางชมพู' ยังมีนักแสดงมาร่วมสร้างความเข้มข้นอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ยลรตี โคมกลอง, ธีรดนัย สุวรรณหอม, บริวัตร อยู่โต, โกวิท วัฒนกุล รวมไปถึง แอ๊ด คาราบาว นักร้องนักดนตรีเพื่อชีวิตระดับแนวหน้าของไทยที่รับเชิญมาแสดงเป็นหัวหน้าชนกลุ่มน้อยด้วย ซึ่งความหลากหลายในทีมนักแสดงนี้เองที่เป็นเสน่ห์สำคัญของหนัง ดังที่ผู้กำกับเรียวกล่าวด้วยน้ำเสียงสนุกสนานว่า "ยิ่งได้นักแสดงแน่นแบบนี้ ผมก็ยิ่งสนุกเข้าใหญ่ เรียกว่ายิ่งทำหนังก็ยิ่งมันครับ!"
ความ 'มัน' ของผู้กำกับเรียวและทีมงาน ยังเกิดขึ้นตลอดเวลาระหว่างการถ่ายทำด้วย เพราะ 'พรางชมพู' ไม่ใช่แค่หนังตลกขบขันเพียงอย่างเดียว แต่ยังเต็มไปด้วยฉากแอ็คชั่นตื่นเต้นเร้าใจ ชนิดที่เรียวบรรยายว่า "ทั้งระเบิดทั้งลูกปืนวิ่งหนีกันหูดับตับไหม้" โดยความตั้งใจของเขาคือ ต้องการถ่ายทอดสภาพเหตุการณ์อันคุกรุ่นกลางสมรภูมิรบอันดุเดือดให้คนดูสัมผัสได้อย่างสมจริง
นอกเหนือจากการทุ่มเทเวลาและเงินทุนกับการเนรมิตฉากเอฟเฟ็คต์ต่าง ๆ ให้คนดูได้อารมณ์มากที่สุดแล้ว นักแสดงก็ต้องรับหน้าที่หนักในการสร้างความสมจริงให้แก่ตัวละครด้วย ดังที่ ยลรตี โคมกลอง หนึ่งใน 6 กะเทยของเรื่องเล่าว่า "เล่นหนังเรื่องนี้ต้องมอมแมมมาก มีโอกาสได้แต่งตัวสวยก็เฉพาะตอนขึ้นเครื่องช่วงแรก ๆ เท่านั้นเอง หลังจากนั้นเน่าตลอด ทั้งเรื่องใส่เสื้อผ้าอยู่ชุดเดียว เพราะผู้กำกับอยากให้หนังตรงตามความจริง นักแสดงก็ต้องตัดใจไม่สวยก็ไม่สวย เพื่อให้หนังออกมาสมบูรณ์ที่สุด"--จบ--
-ศน-
คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สร้างผลงานวิจัยตามยุทธศาสตร์นำนวัตกรรมสื่อสร้างสังคมไร้ความรุนแรง ในโอกาสครบรอบ 60 ปี คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ผลิตภาพยนตร์ผลงานจากการวิจัย "เรื่องของเรา" เล่าเรื่องความขัดแย้งชายแดนใต้ที่ก้าวพ้นตัวตน เสนอเรื่องราวคนในพื้นที่ที่ถูกบดบังจากความขัดแย้ง หนุนบทบาทการสร้างสันติภาพด้วยความรู้และนวัตกรรมทางสังคม รศ.ดร.ปรีดา อัครจันทโชติ คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ เปิดเผยว่า คณะได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ หรือ