กรุงเทพฯ--8 ก.ค.--กทม.
ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เมื่อวานนี้ (7 ก.ค.46) เวลา 11.00 น. นางณฐนนท ทวีสิน ปลัดกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย นายชาญ ปฏิมาภรณ์ชัย ผู้อำนวยการสำนักงานสถานธนานุบาลกรุงเทพมหานคร ร่วมกันแถลงข่าว "พบกันจันทร์ละหน คนกับข่าว" ครั้งที่ 95 หัวข้อ ร่างกฎหมายโรงรับจำนำ เรื่อง การลดอัตราดอกเบี้ยรับจำนำจากร้อยละ 15 เป็นร้อยละ 8 ต่อปี และการเพิ่มโรงรับจำนำเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชน โดยมีนายพิชัย พิชญเดชะ ผู้อำนวยการกองประชาสัมพันธ์ และผู้จัดการสถาน ธนานุบาล กทม. สาขาต่าง ๆ ร่วมการแถลงข่าว
ปลัดกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ในช่วงเปิดเทอมที่ผ่านมา มีประชาชนมาใช้บริการสถานธนานุบาล กรุงเทพมหานคร ทั้ง 20 สาขา จำนวน 44,408 ราย รวมเป็นเงิน 377.18 ล้านบาท มากกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 109.79 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 41.06 สำหรับในช่วงนี้สถานธนานุบาลกทม.ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยรับเปิดเทอม โดยคิดอัตราดอกเบี้ยรับจำนำในอัตราร้อยละ 0.75 ต่อเดือน หรือเท่ากับร้อยละ 9 ต่อปี สำหรับวงเงินไม่เกิน 3,000 บาท ส่วนวงเงินที่เกิน 3,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อเดือน หรือเท่ากับร้อยละ12 ต่อปี ซึ่งอัตราพิเศษนี้จะใช้ไปจนถึงวันที่ 31 ก.ค.46 ต่อจากนั้นจะใช้อัตราปกติเท่ากับโรงรับจำนำอื่น ๆ คือร้อยละ 15 ต่อปี ส่วนร่างกฎหมายโรงรับจำนำเรื่องการลดอัตราดอกเบี้ยรับจำนำจากร้อยละ 15 เป็น ร้อยละ 8 ต่อปี หรือร้อยละ 0.66 ต่อเดือน ขณะนี้ร่างกฎหมายดังกล่าวได้ผ่านวุฒิสภาแล้ว กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ในการประชุม สมัยหน้า หากสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบจะผ่านเป็นกฎหมายและสามารถประกาศใช้ในสถานธนานุบาลของรัฐได้ทั่วประเทศ แต่ถ้าสภาผู้แทนราษฎรไม่เห็นด้วย ก็จะมีการตั้งคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อพิจารณาอีกครั้ง
ผู้อำนวยการสำนักงานสถานธนานุบาล กทม. กล่าวว่า ร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว ยังมีการกำหนดให้คิดอัตราดอกเบี้ยรับจำนำเป็นรายวันด้วย ซึ่งการคิดอัตราดอกเบี้ยรับจำนำเป็นรายวันจะมีประโยชน์ต่อประชาชนอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น ถ้าประชาชนจำนำ 10,000 บาท และจำนำ 32 วัน ในปัจจุบันจะต้องเสียดอกเบี้ย 210 บาท (คือ 140 บาทจากอัตราดอกเบี้ย 1 เดือน รวมกับอีก 70 บาท จากอัตราดอกเบี้ย ครึ่งเดือน ซึ่งจำนำเกินมาเพียง 2 วัน แต่กฎหมายระบุให้คิดดอกเบี้ยครึ่งเดือน) เมื่อกฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้ ประชาชนจะเสียดอกเบี้ยเพียง 70 บาทเท่านั้น (คือ 66 บาท จากอัตราดอกเบี้ย 1 เดือน รวมกับอีก 4 บาท จากอัตราดอกเบี้ยที่เกินไป2 วัน) ทั้งนี้ผลจากการลดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวอาจทำให้สถานธนานุบาล กทม. มีรายได้ลดลงร้อยละ 50-60
ปลัดกรุงเทพมหานคร กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการขยายสาขาสถานธนานุบาล กทม. สาขาบึงกุ่มและทุ่งครุ ขณะนี้กำลังประกาศให้มีการประกวดราคา ส่วนอีก 1 สาขาที่ ทวีวัฒนา อยู่ในระหว่างศึกษาพิจารณาทำเลที่เหมาะสมและสำรวจความต้องการของประชาชนเพื่อนำเสนอผู้บริหารกรุงเทพมหานครพิจารณาต่อไป--จบ--
-นห-