(ต่อ1) บทสัมภาษณ์ นักแสดง กับเรื่อง "กาเหว่าที่บางเพลง"

30 Oct 2003

กรุงเทพฯ--30 ต.ค.--อาร์.เอส. โปรโมชั่น

บทสัมภาษณ์ "นิ้ง-กุลสตรี ศิริพงศ์ปรีดา"

1.มีการเตรียมตัวอย่างไรบ้างสำหรับละครเรื่องกาเหว่าที่บางเพลง?

"ก็ตอนแรกที่ได้รู้ว่าจะได้เล่นละครเรื่องนี้ เล่นเป็นตัวไหน ก็กะว่าจะไปหาบทประพันธ์มาอ่าน แต่พอดีตอนนั้นบทโทรทัศน์เสร็จพอดี นิ้งเลยเอาบทมาอ่าน ก็คิดว่าก็ดีเหมือนกัน เพราะว่าเรายังไม่มีข้อมูลเก่าเวลามาเจอเราก็จะได้ฟีลมากกว่า ใหม่ๆ มาเจอแล้วเราจะเล่นได้สดกว่าที่เราอ่านบทประพันธ์มาก่อน สมมติว่าเราอ่านมาก่อน บางเรื่องเราอาจจะต้องอ่านบทประพันธ์มาก่อนแล้วค่อยมาเล่น แต่บางเรื่องโดยเฉพาะกับเรื่องนี้ซึ่งเป็นดราม่ามากๆ นิ้งจะเอาเรื่องย่อ เอาบทละครที่เราจะต้องแสดงมาอ่าน แล้วเล่นด้วยความสด มันจะได้อารมณ์ความสดมากกว่า เพราะนิ้งกลัวว่าถ้าอ่านบทประพันธ์หรือเอาหนังมาดูก่อนแล้วจะติดกับตัวละครตัวนั้น จะต้องเป็นตัวนั้นให้ได้ ต้องเล่นให้เหมือน ถ้าไม่เหมือนจะดูว่าเราไม่เก่ง นิ้งอยากให้คนดูอินว่า แก้ว ในเรื่องคือตัวนิ้ง สำหรับเรื่องนี้เรียกว่าเน้นความสดก็ว่าได้ค่ะ"

2.คาแร็คเตอร์เป็นอย่างไรบ้าง?

"เล่นเป็นแก้วค่ะ เป็นผู้หญิงที่ดีคือเป็นคุณครู ซึ่งรักกับประพันธ์ (พงษ์พัฒน์ วชิระบรรจง) อยู่ แล้วก็สัญญากันว่ากลับมาจะแต่งงานกัน แต่สรุปว่าวันหนึ่งมันเกิดปัญหาขึ้นมา ที่ตัวเองเกิดท้องโดยที่ไม่รู้สาเหตุ และทั้งหมู่บ้านก็ท้อง แต่ด้วยความที่ว่าตัวเองต้องเก็บความรู้สึกตรงนั้น ประพันธ์กลับมาเขาต้องการรู้ความจริง แต่สัญชาติญาณของความเป็นแม่ อย่างไรเขาก็คือลูกของเรา เราต้องดูแลเขาอย่างดี อีกใจหนึ่งมันก็มีลึกๆ เหมือนกับว่า เขามาอย่างไร เขาเป็นอย่างไร ทำไมเขาเป็นแบบนี้ อารมณ์ที่เล่นมันจะเป็นแบบกึ่งๆ บอกไม่ถูกเหมือนกันค่ะ"

3.สับสนไหมกับบทที่ค่อนข้างกึ่งๆ แบบนี้?

"ปกติเรื่องอื่นนิ้งจะตีบทละครแค่ 1 ชั้น แต่พอมาเล่นเรื่องนี้ 2 ชั้นไม่อยู่ ต้องตีอยู่ 3 ชั้น เพราะในเรื่องนี้ฉากหนึ่งบางทีมีหลายอารมณ์หลายความรู้สึก เช่น ตัวแก้วเองก็ไม่เข้าใจและสับสนเหมือนกันว่าทำไมตัวเองท้องทั้งๆ ที่เราไม่เคยยุ่งกับใครเลย แต่อีกใจก็จะคิดว่าเขาเป็นลูกของเรา ก็เป็นคนเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเรานะ ก็เห็นการเจริญเติบโต แต่ทำไมโตเร็วจัง มันต้องเล่นให้คนได้รู้ตรงนั้น ซึ่งค่อนข้างยากและสับสนในบทมาก แต่ช่วงหลังนิ้งเล่นแล้วลืมตัวเราเอง ความสับสนมันหายไป กลายเป็นความเหนื่อย ก่อนหน้าที่จะเล่นนิ้งต้องเอาการบ้านไปทำก่อน นิ้งพูดกับทีมงานเลยว่าถ้ามีถ่ายเมื่อไรต้องส่งใบคิวให้ก่อน เพราะนิ้งจะต้องอ่านอีกครั้งและทำความเข้าใจกับบท แล้วต้องย้อน ถ้าสับสนมันคงจะเป็นตอนที่อ่านครั้งแรก ก็ทำความเข้าใจกับมันอยู่นานพอสมควร แต่พอมาเล่นจริงๆ พอนับ 5-4-3-2 นิ้งก็ปล่อยให้ไหลไปตามอารมณ์ของตัวละครตรงนั้น ยากตรงที่เราจะสื่ออย่างไรให้คนดูเขารู้ว่าเรารู้สึกสับสน ยากกว่าบทที่จะต้องร้องไห้เสียอีก บางซีนคนจะคิดว่าร้องไห้เก่งๆ น้ำตาต้องไหลจึงจะเล่นเก่ง แต่ในความคิดของนิ้งคิดว่าไม่จำเป็นต้องน้ำตาไหล ขอให้คุณเล่นให้เข้าถึงอารมณ์ตัวละครตัวนั้นให้ได้ บางครั้งการร้องไห้ไม่ต้องมีน้ำตาก็ได้ เพราะบางทีการร้องไห้มากๆ คนอาจจะกลัวด้วยซ้ำ ถ้าเราสงสารตัวเองมากเกินไปคนดูจะไม่สงสารเรา"

4.ส่วนตัวนิ้งชอบบทแบบนี้หรือเปล่า?

"ถึงแม้เรื่องนี้นิ้งจะต้องเหนื่อยอยู่สักหน่อย แต่ก็รู้สึกว่าชอบและติดใจ ถ้ามีอีกขอเล่นค่ะ คือเรียกว่ามันเหนื่อยแต่ก็สนุก มันเป็นเหมือนแบบทดสอบที่เราต้องทำให้ได้ ณ วันนั้นก็ผ่านมาก็รู้สึกว่าตัวเองทำเต็มร้อย แต่นิ้งจะให้คะแนนตัวเองแค่ 60 อีก 40 นิ้งมองว่ามันเป็นขั้นแรกที่เราเริ่มมีการพัฒนามาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งประสบการณ์ตรงนี้นิ้งว่ายังน้อยไปหน่อย แต่ถ้าถามว่าดีไหม ก็ต้องบอกว่าดีอยู่แล้ว ต้องชมเป็นการให้กำลังใจตัวเองก่อน อย่างไรก็รอชมตอนละครออกอากาศ แล้วจะรู้ว่ากุลสตรีจะยังเป็นกุลสตรีหรือเปล่า"

5.ผู้กำกับว่าอย่างไรบ้าง?

"เวลานิ้งเล่นนิ้งจะทุ่มสุดตัว ก่อนเข้าฉากนิ้งจะขอแค่ความสงบ ส่วนใหญ่เล่นแล้วจะหลุดอินไปกับตัวละครเลย แต่พี่ตุ้ย (กมล ศรีสวัสดิ์) ก็บอกว่าได้ นิ้งพูดกับพี่ตุ้ยตลอดว่านิ้งต้องขอโทษ ถ้าไม่ได้อย่าเกรงใจนิ้ง เพราะนิ้งก็เหมือนลูกน้องคนหนึ่งที่พี่ต้องสั่งให้ทำอะไร ก็โชคดีที่ได้เจอพี่ตุ้ย ซึ่งพี่เขาจะคอยบอกว่าอันนี้มากไป อันนี้น้อยไป อันนี้กำลังดี นิ้งชอบสไตล์การทำงานของพี่เขา เพราะพี่เขาจะพูดตรงๆ กับนิ้ง คือใช่ก็ว่าใช่ ไม่ใช่คือไม่ใช่ แต่เขาไม่ได้พูดทำร้ายจิตใจหรือถือเอาความคิดตัวเองนะคะ พี่เขาจะมีเหตุผลเสมอเวลาที่เราอาจจะตีความผิดไป พี่ตุ้ยก็จะมาบอกว่าเล่นแบบนี้ไม่ได้เพราะตอนนี้ตัวละครจะรู้สึกอย่างนี้นะแล้วมันจะไปต่อเนื่องกับอีกฉากหนึ่ง โดยส่วนตัวนิ้งจะไม่ค่อยชอบถ้าใครมาชมว่าดีแล้ว เหมือนเป็นการให้กำลังใจ ซึ่งนิ้งไม่ต้องการกำลังใจ เพราะเราไม่รู้ว่าที่ชมว่าดีแล้ว จริงๆ แล้วมันเป็นอย่างไร นิ้งชอบให้พูดตรงๆ มากกว่า ตรงนี้ดี ตรงนี้ไม่ดี ดีกว่า เพราะจะทำให้เรารู้จักการพัฒนาตัวเองด้วย ก็รู้สึกดีใจที่ได้ร่วมงานกับพี่ตุ้ยค่ะ"

6.ได้อะไรจากละครเรื่องนี้บ้าง?

"ได้เยอะมาก นิ้งต้องให้เครดิตพี่อ๊อฟ (พงษ์พัฒน์) ที่ทำให้นิ้งฮึดสู้ ขนาดปิดกล้องไปแล้วนิ้งยังรู้สึกเกร็งอยู่เลย เพราะพี่อ๊อฟเขาเล่นจริง พอเขาจริงมันทำให้เราต้องทำการบ้านหนักมากขึ้น เหมือนกับเราต้องแข่งกับตรงนั้นด้วย นอกจากนี้นิ้งต้องให้เครดิตกับทุกคนด้วยแม้กระทั่งนักแสดงร่วม เพราะเขาเต็มที่ ทุกคนตั้งใจเล่นกันเต็มที่ ทำให้เราต้องพยายามมากขึ้น เพราะถ้าเราไม่สปีดตัวเองมันจะดูน่าเกลียด ละครเรื่องกาเหว่าที่บางเพลงนิ้งขอให้เครดิตทุกคนเลย เพราะทุกคนรู้ว่าเหนื่อย รู้ว่าหนัก ใช้เอฟเฟ็คท์ บางทีถ่ายกันถึงเช้าก็มี แต่ทุกคนสู้ เขายอมเหนื่อย นิ้งบอกได้เลยว่าเป็นละครเรื่องที่ทุกๆ คนยอมทำด้วยใจจริง เสียสละ"

7.ร่วมงานกับพี่อ๊อฟครั้งแรกเป็นอย่างไรบ้าง?

"เกร็งมาก คิดตลอดว่าถ้ามาเจอพี่เขาเราจะเล่นอย่างไร เราจะทำได้ไหม มันเกร็ง พยายามอ่านบทแล้วอ่านบทอีก อยู่หน้ากองนิ้งต้องถือบทตลอดเวลา เพราะกลัว แต่พอเล่นไปเล่นมาพี่เขาให้ความรู้โดยเขาไม่ได้มาสอน แต่มันเป็นไปเองตามธรรมชาติ รู้สึกว่าละครมันคือธรรมชาติ มันไม่ใช่ที่เราจะมานั่งฟิกซ์ว่า ต้องพูดอย่างนี้ก่อนแล้วค่อยหันไปนะ หรือถ้าเรามัวแต่กังวลว่าเดี๋ยวมุมกล้องไม่ได้ มันก็จะทำให้เราเล่นได้ไม่เต็มที่ เพราะฉะนั้นนิ้งจะเล่นไปตามฟีลเลย แล้วให้กล้องเขาช่วยเราหามุมที่ดี แค่นี้พอแล้ว จากการที่ได้ร่วมงานกับพี่อ๊อฟ มันทำให้นิ้งได้เข้าใจคำว่าละครมากขึ้นมาอีก นิ้งได้ความสมจริงของคนละครของพี่อ๊อฟ ด้วยความที่เขาเล่นเป็นธรรมชาติ เขาเล่นเป็นตัวไหนก็เป็นตัวนั้นจริงๆ เลยคิดว่าเขาคือคนละครและทำให้นิ้งรักละครมากขึ้นกว่าเดิมด้วยค่ะ

8.ฉากไหนที่รู้สึกว่ายาก?

"ฉากร้องไห้ เพราะมันต้องใช้สมาธิเยอะมาก บางวันมันอยากจะร้องมันก็ร้องออก แต่บางวันพยายามทำอารมณ์ ตั้งสมาธิอย่างไรก็ร้องไม่ได้ เมื่อก่อนคิดว่าร้องไห้ไม่ได้แต่น้ำตาไหลมันผ่านแล้ว แต่เดี๋ยวนี้บางทีน้ำตาไหลแต่เรารู้สึกว่ามันไม่ได้มาจากข้างใน เราโกหกคนดู น้ำตาไหลใช่แต่เราโกหก นิ้งก็จะขอถ่ายใหม่ เพราะนิ้งอยากให้ได้ความรู้สึกจริงๆ จากข้างใน ตอนที่อ่านบทตอนแรกยังคิดอยู่เลยว่าจะเล่นออกมาอย่างไร แบบไหน แต่พอมาเล่นเข้าจริงๆ เราอินแล้วมันไหล บางทีเล่นเกิน เล่นหลุด กลับมาคิด นั่งคุย นิ้งก็คิดว่ามีคำตอบให้ตัวเอง เหตุผลในตัวนั้นมันทำเพราะอะไร"

9.อินไหมกับความรัก ผูกพันระหว่างแม่กับลูก?

"อินค่ะ บอกตามตรงว่าตอนแรกๆ ยังรับไม่ได้ที่อยู่ดีๆ ลูกโต แต่จริงๆ เราคิดว่าเขาเป็นแค่เด็กอายุ 8 ขวบ แต่บางทีนอกฉากก็ยังเรียกริวว่าลูก เพื่อให้เรารู้สึกว่าเขาคือลูกของเรา บางทีเจอก็จะเล่นกับเขา เป็นไงจ๊ะลูกจ๋า เราต้องทำ ช่วงตรงนั้นเราต้องเป็นตรงนั้น ริวเองก็จะเรียกนิ้งว่าแม่ แม่จ๋า บางทีก็แซวว่า แม่สวัสดี นิ้งต้องพยายามทำให้ความรู้สึกว่าเขาคือลูก ไม่ใช่น้อง แรกๆ จะรู้สึกว่าเขาเป็นน้อง ก็เลยสร้างความรู้สึกให้กับตัวเองและริวด้วย แต่พอทุกอย่างเริ่มเข้าที่ เวลาเข้าฉากนิ้งก็จะเล่นได้ไหลลื่นและรู้สึกได้ว่าเขาเป็นลูกจริงๆ เป็นลูกในไส้ของเรา ในขณะเดียวกันหลังจากที่ผู้กำกับสั่งคัทแล้ว นิ้งก็จะพยายามทำตัวให้กลับสู่สภาพความเป็นจริง เพราะถ้าอินมากๆ มันจะทำให้เราเหนื่อยค่ะ"

10.ฉากไหนที่รู้สึกว่าเหนื่อยสุดๆ?

"มีฉากหนึ่งที่ลูกกำลังจะตาย ตอนนั้นรู้สึกได้เลยว่าใจจะขาด หมดเรี่ยวหมดแรงเลยค่ะ นิ้งจำทุกภาพได้หมดว่า สิ่งๆ หนึ่งที่เราเคยดูแลมาอย่างดี แล้ววันนี้เขาจะจากเราไปแบบไม่มีวันกลับมา แล้วเขาจะไปอยู่ตรงไหน มันอธิบายไม่ถูก รู้สึกอินจัดมากเลยค่ะตอนนั้น ซึ่งวันที่ถ่ายฉากนี้มีหลายคนที่โดนนิ้งผลัก โดนสะบัดใส่โดยที่นิ้งก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าโดนใครบ้าง นิ้งก็ต้องฝากขอโทษทุกคนตรงนี้เลย และอยากบอกว่าเราไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ใครเจ็บ แต่ด้วยอารมณ์มันพาไป ตอนนั้นรู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องจริงมากๆ ลูกเรากำลังจะตายแล้ว ทุกคนมาห้อมล้อมลูกเรา ด้วยความรู้สึกสงสาร เสียใจ เสียดายที่เขาจากไป ซึ่งก่อนหน้านี้ทุกคนมองลูกเราเป็นตัวประหลาด ในความรู้สึกตอนที่เล่นนั้น พอเขาหมดลมหายใจ คนที่รับบทเป็นแม่ของนิ้งคืออาจารย์นัยนา จันทร์เรือง เขาก็เข้าไปกอดหลาน นิ้งก็เข้าไปผลักเขาแล้วเอาลูกมากอดร้องไห้เสียใจอย่างหนัก จนคัทเขาก็ถามเหตุผลว่าผลักทำไมเพราะในบทไม่มี นิ้งเลยอธิบายเหตุผลว่าตอนนั้นเรารู้สึกอย่างนี้จริงๆ ซึ่งเขาก็บอกว่า สมเหตุสมผลดี ซึ่งนิ้งก็ขอโทษเขาว่าเราไม่ได้ตั้งใจ เขาก็ไม่โกรธเพราะเขาเองเขาก็อินไปกับเราเหมือนกันค่ะ"

11.แล้วจากเรื่องราวตรงนี้สามารถสอนอะไรให้เราได้บ้าง?

"เรื่องนี้สอนให้คนมีความรัก ไม่ว่าเขาจะเป็นใครหรือมาจากไหนก็ตาม แต่ความผูกพัน ความรักมันความสำคัญกว่า สอนให้ทุกคนรู้ว่าแม้จะมาจากต่างที่กัน แม้ว่าเขาจะคนละเชื้อชาติ คนละภาษา คนละสีผิว ไม่ว่าจะต่างกันแค่ไหนก็ตาม เราควรอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ควรมีน้ำใจ มีความรักให้กัน ไม่ควรมีการแบ่งแยกกันว่าเขาต่างจากเรา เขาเป็นคนละพวกกับเรา หรือมองว่าเขาคือตัวประหลาด และอย่าตัดสินกันที่ความต่าง เพราะบางครั้งเราเองอาจจะไม่ได้คิดถูกเสมอไปค่ะ"

12.อยากให้ฝากถึงละครเรื่องนี้

"ก็ฝากให้ดูและวิจารณ์ด้วยว่าเป็นอย่างไร อยากให้ดูเพราะว่าทุกคนตั้งใจกันหมด เริ่มถ่ายตั้งแต่เช้าวันนี้ถ่ายกันถึงเช้าพรุ่งนี้ สว่างคาตาก็มี แต่พวกเราทุกคนเต็มที่กับละครเรื่องนี้อย่างมาก เหนื่อยจนน้ำตาร่วงก็เคยมาแล้ว แต่มันสนุก ละครอาจจะใช้เวลาออกอากาศไม่นานนัก แต่การทำงานในเวลา 6 - 7 เดือนมันมีอะไรหลายอย่างที่เข้ามา มีอุปสรรค มีทั้งความสุข แต่ก็ทุกคนตั้งแต่ผู้กำกับไปถึงสวัสดิการ ช่างไฟ เต็มที่และอยากให้ทุกคนได้ดู ได้เห็นว่าละครของฟิล์มเซิร์ฟ บริษัทในเครือของอาร์เอสฯ ก็มีดีเหมือนกัน"

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

บทสัมภาษณ์ "ริว-อาทิตย์ ตั้งสวัสดิ์รัตน์"

1.เป็นอย่างไรบ้างกับละครเรื่องนี้?

"เป็นละครที่ค่อนข้างคาดหวังว่าจะตีแนวละครใหม่ จากฝีมือการกำกับของพี่ตุ้ย (กมล ศรีสวัสดิ์-ผู้กำกับ) และการออกแบบสเปเชียลเอฟเฟ็คท์ ซึ่งเป็นการโชว์ว่าคนไทยก็สามารถผลิตละครที่มีคุณภาพและยิ่งใหญ่ได้ครับ"

2.คาแร็คเตอร์เป็นอย่างไรบ้าง?

"ในเรื่องนี้ผมรับบทเป็น สมรักษ์ ครับ เป็นเด็กต่างดาวลูกของพี่นิ้ง (กุลสตรี ศิริพงศ์ปรีดา) ในเรื่องนี้จะมีตัวแทนของความรักอยู่ 3 ด้าน คือความรักทางศาสนา, ความรักของพ่อแม่ ส่วนริวนั้นจะเป็นตัวแทนของความรักของหนุ่มสาว จากที่เราเกิดมาและเหมือนกับเพื่อนๆ ต่างดาวคนอื่นๆ คือเรียนรู้ได้เร็ว แต่ไม่มีพัฒนาการทางด้านความรู้สึก ความรักหรือเสียใจ เราได้เรียนรู้เรื่องความรักระหว่างหนุ่มสาวจากหญิงสาวคนหนึ่งคือ พิม (อั้ม-ฐนิชา ดิษยบุตร) และได้เรียนรู้ความรักของคนที่เป็นแม่คือพี่นิ้งด้วย"

3.ชอบไหมกับบทแบบนี้?

"ชอบครับ เพราะเป็นตัวละครที่มีพัฒนาการในตัวเอง คือจากไม่มีความรู้สึก ไม่มีความรัก และไม่รู้จักความเสียใจ เราค่อยๆ เรียนรู้และพัฒนาทางจิตใจมากกว่าคนอื่นๆ เราได้รับความอบอุ่น การดูแลเอาใจใส่จากแม่และผู้หญิงที่ชื่อพิม มันเป็นบทที่ท้าทายบทหนึ่งครับ เพราะดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย แต่ความจริงแล้วโหดมาก คนปกติถ้าไปถ่ายละครอยู่ในป่า เวลายุงกัดก็ยังสามารถปัดหรือไล่มันได้ แต่การรับบทมนุษย์ต่างดาวเวลาที่ยุงกัดเป็นร้อยตัว ก็ต้องอาศัยความอดทนสูงมาก เพราะถ้าเราปัดมันหรือยุกยิก เราก็ต้องเทกใหม่ ซึ่งมีคนอีกเป็นร้อยที่ต้องมาเทกเพราะเรา เพราะฉะนั้นต้องทนมากๆ"

4.ยากไหมกับการรับบทมนุษย์ต่างดาว?

"ยากมากครับ เพราะมนุษย์ต่างดาวในเรื่องจะต้องไม่มีความรู้สึก เหมือนไม่มีจิตวิญญาณ ทำอะไรจะทำเหมือนๆ กัน ซึ่งตัวจริงเราก็เป็นคนธรรมดาๆ เวลาที่เข้าฉากเราต้องเล่นฝืนธรรมชาติเราเอง ธรรมชาติของคนเวลาที่คิดหรือรู้สึก มันสามารถแสดงออกมาเป็นท่าทาง สีหน้าดีใจก็ยิ้ม เสียใจก็ร้องไห้ แต่ธรรมชาติของมนุษย์ต่างดาวในเรื่องจะต้องนิ่ง ลึก ทั้งท่าทาง สายตา เราไม่สามารถแสดงอาการดีใจ เสียใจได้ ยากตรงการเล่นสายตา ทำอย่างไรจะแสดงออกมาให้ดูเป็นต่างดาวจริงๆ ทำอย่างไรจะออกมาไม่ให้เหมือนคน มันยากนะ อย่างมีอยู่ฉากหนึ่งที่ริวต้องเข้าฉากกับอั้ม เราเข้าไปปลอบเขาเรื่องที่เขาสูญเสียพ่อไป เขาร้องไห้ แต่เราต้องไม่รู้สึก เพราะเราจะไม่รู้จักว่าเสียใจเป็นอย่างไร ถ่ายไปได้หน่อยหนึ่งพี่ตุ้ยก็สั่งคัท ริวก็งงว่าทำไมพี่ตุ้ยสั่งคัท คือเขาเห็นจากมอนิเตอร์ว่าริวน้ำตาคลอเบ้า ซึ่งริวพยายามกลั้นน้ำตาไว้ พี่ตุ้ยเดินมาบอกว่าไม่ได้แม้จะแค่คลอๆ ก็ไม่ได้ เพราะเหมือนกับว่าเราไม่รู้ว่าทำไมต้องเสียใจกับการจากไปของพ่อ เราต้องไม่รู้ว่าการสูญเสียมันเป็นอย่างไร ยอมรับเลยว่ายากมาก เพราะเราเป็นคน มีจิตใจ มีความรู้สึกทุกอย่าง ต้องมาปั้นหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวมันเลยรู้สึกว่ายากเอาเรื่องอยู่ครับ"

5.ประทับใจอะไรในเรื่องนี้?

"ประทับใจที่ได้ร่วมงานกับคนหลายร้อยชีวิต และผู้กำกับที่มีความใจเย็น อดทนสูง เพราะเป็นงานที่ค่อนข้างจะถ่ายทำยากและใช้เวลานานพอสมควร แต่ทุกคนก็เต็มใจและทำงานกันแบบเต็มที่ ยอมเหนื่อย เห็นแล้วทำให้มีกำลังใจในการทำงาน อดทนถ่ายกันจนจบเรื่อง บางวันไปถ่ายตั้งแต่ตี 5 ของวันนี้ไปถึงตี 5 ของอีกวัน แต่ทุกคนไม่มีใครปริปากบ่นอะไรเลย เพราะเขาเห็นความตั้งใจของผู้กำกับที่อยากให้งานออกมาดีที่สุด ซึ่งเป็นความทรงจำที่ดีที่ผมจะต้องเก็บและจดจำไปตลอดครับ อีกอย่างได้มีโอกาสดูบางส่วนที่เขาตัดต่อไปบ้างแล้ว พูดได้เลยว่าภาพและแสงสวยครับ ชอบและคิดว่าเป็นผลงานที่ก้าวไปอีกขั้นสำหรับวงการละครไทยครับ"6.กับนิ้งเป็นอย่างไรบ้าง ได้ข่าวว่านิ้งอินเรียกลูกจนติดปาก?

"ผมเองก็อินครับ คิดว่าพี่นิ้งเป็นแม่จริงๆ ทุกวันนี้ปิดกล้องไปได้พักใหญ่แล้ว แต่ริวยังติดเรียกพี่นิ้งว่าแม่อยู่เลย เขาเองเจอกันที่บริษัทเขาก็เรียกริวว่าลูกเหมือนกัน คือความรู้สึกมันไม่จางไปเลย เพราะเขาทำให้ริวเชื่อและติดว่าเขาเป็นแม่เรา"

7.ส่วนใหญ่มักจะมีข่าวการจับคู่ระหว่างพระ-นาง ริวกลัวไหม?

"กับอั้มสนิทกันครับ เขาเป็นเพื่อนที่นิสัยดีคนหนึ่ง สนิทกันชนิดที่อ้าปากก็รู้แล้วว่าเขาจะพูดหรือคิดอะไร เพราะความที่รู้จักและสนิทสนมกัน หลายคนเลยมักจะมองว่าเรามีอะไรกุ๊กกิ๊กกันหรือเปล่า หรือบางคนอาจจะกลัวว่าเล่นละครด้วยกันแล้วจะมีข่าวจับคู่ แต่ริวไม่เคยกลัวข่าวตรงนี้ เพราะริวกับอั้มบริสุทธิ์ใจที่จะเป็นเพื่อนกัน ใครคิดอย่างไรเราไม่รู้ รู้แต่ว่าเราคือเพื่อนกัน และถ้าถามว่าความสัมพันธ์จะเปลี่ยนไปไหม ริวบอกได้เลยว่าไม่ ความเป็นเพื่อนมันมีมากกว่าความรู้สึกแบบอื่น และไม่อยากให้ความรู้สึกเปลี่ยนไปด้วย ความเป็นเพื่อนมันทำให้เราคุยได้ทุกเรื่อง ปรึกษากันได้ทุกอย่าง อีกอย่างริวเห็นเพื่อนเคยมีความรักแล้วเขาเคยเจ็บมาแล้ว ก็เลยไม่อยากเปลี่ยนความรู้สึกที่เคยมี เคยไปทานข้าวด้วยกัน เป็นเพื่อนสนุกสนานเฮฮาด้วยกันมาตลอด อยากรักษาความสัมพันธ์ฉันเพื่อนเอาไว้ครับ"

บริษัท อาร์.เอส.โปรโมชั่น จำกัด (มหาชน)

โทร.02-511-0555 ต่อ 107

แฟ็กซ์ 02-938-5638

สมลักษณ์ อินทร์สอาด(ยุ้ย) 01-815-1663--จบ--

-รก-