กรุงเทพฯ--14 ต.ค.--ปตท.
ที่ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ฯพณฯพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พร้อมด้วย นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ 2 ฉบับ คือแหล่งไพลินและแหล่งทานตะวัน/เบญจมาศ
สัญญาฉบับที่หนึ่งเป็นการลงนามสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติแก้ไขเพิ่มเติมแหล่งไพลิน ฉบับที่ 3 ระหว่าง ปตท. กับ บริษัทยูโนแคล ไทยแลนด์ จำกัด ,บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) บริษัท อเมราดาเฮส (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท โมเอโกะ ไทย ออยล์ ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด
สัญญาฉบับที่สอง เป็นการลงนามในสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติแก้ไขเพิ่มเติมแหล่งทานตะวันและแหล่งเบญจมาศฉบับที่ 3 (B8/32) ระหว่าง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กับ กลุ่มผู้ผลิตก๊าซฯ แหล่งทานตะวันและเบญจมาศ ซึ่งประกอบด้วย บริษัท เชฟรอน ออฟชอร์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ไทยโป จำกัด,บริษัท B8/32 Partner และ บริษัท พลังโสภณ จำกัด
นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ความสำเร็จในการเจรจาครั้งนี้ เป็นผลมาจากความพยายามของทั้ง ปตท. และ ผู้ผลิตก๊าซฯ ที่เป็นเจ้าของสัมปทาน ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาตลาดก๊าซธรรมชาติของประเทศ ตลอดจนโอกาสการลงทุนในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในอนาคตซึ่งในที่สุดแล้วก็จะนำมาซึ่งผลประโยชน์ที่ประเทศและประชาชนจะได้รับในระยะยาว เนื่องจากก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าของประเทศที่มีความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติอย่างต่อเนื่องทุกปี ตามสภาวการณ์เติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
การบรรลุข้อตกลงซื้อขายก๊าซธรรมชาติในครั้งนี้ทำให้ประเทศสามารถประหยัดค่าก๊าซธรรมชาติจากแหล่งไพลินมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาท และจากแหล่งทานตะวันและเบญจมาศได้จำนวน 1,280 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถช่วยบรรเทาค่าไฟฟ้าของประชาชนในระยะยาว สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงพลังงานที่จะพยายามรักษาระดับค่าไฟฟ้าเอฟทีให้อยู่ในอัตราที่สม่ำเสมอ
ทางด้าน นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. เปิดเผยว่า การเจรจาครั้งนี้อยู่บนหลักการผลประโยชน์ร่วมกันของทุกฝ่าย โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นหลัก ซึ่งจากการเจรจาสามารถสรุปสาระสำคัญของการลงนามแก้ไขสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ 2 ฉบับ ได้ดังนี้
1.สัญญาแก้ไขเพิ่มเติมแหล่งไพลินฉบับที่ 3 ปตท. จะซื้อก๊าซฯเพิ่มขึ้นจาก 330 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันเป็น 353 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ตั้งแต่ตุลาคม 2546 โดยมีส่วนลดราคาก๊าซฯ ร้อยละ 3 สำหรับปริมาณก๊าซฯทั้งหมด และหลังจากการก่อสร้างท่อส่งก๊าซฯ เส้นที่ 3 แล้วเสร็จในต้นปี 2549 ปริมาณการซื้อขายก๊าซฯ จะเพิ่มขึ้นจาก 353 เป็น 368 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดยมีส่วนลดราคาก๊าซฯมากขึ้นเป็นร้อยละ 5 สำหรับปริมาณก๊าซฯทั้งหมด ซึ่งเมื่อคิดเป็นมูลค่าส่วนลดที่จะได้รับตลอดอายุสัญญาแล้ว จะมีมูลค่าสูงถึงประมาณ 20,000 ล้านบาท
นายประเสริฐ ฯ กล่าวต่อไปว่า ผู้ผลิตก๊าซฯแหล่งไพลิน ยังได้ให้เงินส่วนลดบางส่วนมาก่อนล่วงหน้าจำนวน 410 ล้านบาท เพื่อใช้สนับสนุนในการตรึงค่าไฟฟ้าตามนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะในช่วงเดือนมิถุนายน 2546 ถึงเดือนมกราคม 2547 เพื่อลดผลกระทบจากวิกฤตการณ์น้ำมันโลกช่วงปลายปี 2545 จนถึงต้นปี 2546
2. สัญญาฯ แก้ไขเพิ่มเติมแหล่งทานตะวันและเบญจมาศ ฉบับที่ 3 ปตท.จะขยายระยะเวลาในการซื้อขายก๊าซฯส่วนเพิ่มออกไปเป็นเวลา 3 ปี 10 เดือน จากวันที่ 1 มีนาคม 2547 จนถึง 31 ธันวาคม 2550 โดยปริมาณก๊าซฯส่วนที่เกินกว่า 145 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันเป็น 230 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน จะมีส่วนลดราคาร้อยละ 12 ซึ่งมูลค่าส่วนลดที่จะได้รับในช่วงที่ขยายระยะเวลาออกไปนั้น คิดเป็นเงินประมาณ 1,280 ล้านบาท
อนึ่ง ทุกวันนี้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้าของประเทศและมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต ความสำเร็จจากการเจรจาในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของราคาก๊าซฯในระยะยาวแล้ว ยังช่วยลดต้นทุนพลังงานของประเทศและภาระค่าไฟฟ้าของประชาชนโดยรวมด้วย--จบ--
-สส-