กรุงเทพฯ--28 พ.ย.--พีซี แอนด์ แอสโซซิเอทส์ คอนซัลติ้ง
การจัดการวงจรการใช้งานของข้อมูล: พัฒนาการขั้นต่อไปของการจัดเก็บข้อมูล
ข้อคิดเห็นจาก คุณวินัย วารัญญานนท์
กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีเอ็มซี อินฟอร์เมชั่น ซิสเต็มส์ (ประเทศไทย) จำกัด
ในช่วง 3 ปีถัดจากนี้ไป เราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงมากมายในระบบการจัดเก็บข้อมูลหรือสตอเรจ ซึ่งมากกว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ด้วยการพัฒนาและเป็นที่ตอบรับอย่างรวดเร็วเพื่อมุ่งไปสู่ระบบการจัดการวงจรการใช้งานของข้อมูล (Information Life-cycle Management หรือ ILM) ในปัจจุบัน องค์กรขนาดใหญ่มีการใช้งานโปรแกรมแอพพลิเคชั่นหลายร้อยโปรแกรม รวมทั้งข้อมูลออนไลน์หลายเทราไบต์ (terabyte) และข้อมูลจำนวนมหาศาลเกือบถึงระดับเพทาไบต์ (petabyte) ที่จัดเก็บไว้บนเทป แต่แทบจะไม่สามารถจัดสรรทรัพยากรสตอเรจให้สอดคล้องกับคุณประโยชน์ของข้อมูลแต่ละชุด ณ ช่วงเวลาหนึ่งๆ ได้อย่างลงตัว ผลที่ตามมาก็คือ การลงทุนที่มากเกินความจำเป็นสำหรับการคุ้มครองและเก็บรักษาข้อมูลที่ไม่สำคัญเพื่อให้พร้อมใช้งานอยู่ตลอดเวลา แต่ในขณะเดียวกันกลับทำให้ข้อมูลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งถูกปล่อยทิ้งไว้โดยปราศจากการป้องกันใดๆ ILM เป็นระบบที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการจัดการข้อมูลตลอดอายุการใช้งาน เริ่มตั้งแต่การสร้างและใช้งาน ไปจนถึงการเก็บถาวรและทำลาย
ความต้องการด้านข้อมูลที่เปลี่ยนไป
ในปัจจุบัน ข้อมูลที่องค์กรต่างๆ จำเป็นต้องบริหารจัดการและใช้งานมีปริมาณมากมายมหาศาล และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลเริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันและธุรกิจของเรามากขึ้นเรื่อยๆ และสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับความต้องการด้านธุรกิจ กฎหมาย กฎระเบียบ หรือความต้องการส่วนบุคคลมากขึ้นทุกขณะ ทุกวันนี้ข้อมูลต่างๆ จำเป็นต้องจัดเก็บไว้เป็นเวลานาน (อายุการใช้งานยาวนานกว่าเซิร์ฟเวอร์ อุปกรณ์สตอเรจ ระบบปฏิบัติการ หรือแอพพลิเคชั่นหนึ่งๆ) ทั้งยังมีการเปลี่ยนแปลงในด้านคุณประโยชน์อยู่เป็นประจำ (ซึ่งโดยมากแล้วจะไม่สามารถคาดการณ์ได้) และเป็นปัจจัยหลักในการกระตุ้นการเติบโตของธุรกิจมากกว่าในอดีต
ในขณะเดียวกัน มีกฎระเบียบใหม่ๆ ที่ใช้ควบคุมระยะเวลาการจัดเก็บข้อมูลการสื่อสารทางอินเทอร์เน็ตและอีเมลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ รวมถึงความสะดวกรวดเร็วในการเรียกดูข้อมูลดังกล่าว จากการสำรวจ พบว่า เฉพาะในสหรัฐฯ มีกฎระเบียบระดับรัฐและระดับประเทศเกือบ 10,000 ข้อ เพื่อควบคุมการจัดเก็บ ความพร้อมใช้งาน และการกำจัดข้อมูล เช่น กฎหมาย Sarbanes-Oxley, มาตรา 5015.2 ของกระทรวงกลาโหม และพระราชบัญญัติว่าด้วยความสะดวกและความน่าเชื่อถือเกี่ยวกับประกันสุขภาพ (Health Insurance Portability and Accountability Act) เมื่อคุณค่าของข้อมูลเปลี่ยนไป ก็ควรที่จะจัดเก็บข้อมูลดังกล่าวไปที่สื่อจัดเก็บข้อมูลแบบออนไลน์และออฟไลน์อื่นๆ ซึ่งให้การคุ้มครอง การจำลอง และการกู้คืนข้อมูลในระดับที่เหมาะสม โดยเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด
การจัดการข้อมูลในปัจจุบัน
ผู้จัดการฝ่ายไอทีมีเครื่องมือด้านการจัดการระบบจัดเก็บข้อมูลต่างๆ มากมายให้เลือกใช้สำหรับรับมือกับปัญหาท้าทายในการจัดการความต้องการข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาและยากจะคาดเดา เครื่องมือเหล่านี้สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับการจัดการ การเคลื่อนย้าย และการจำลองข้อมูล และสามารถตอบสนองความต้องการด้านการเก็บรักษาข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ปัญหาก็คือ ยังขาดการจัดการข้อมูลโดยรวมอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
ยิ่งกว่านั้น ระบบไอทีของแต่ละองค์กรยังประกอบด้วยแอพพลิเคชั่นต่างๆ มากมายที่แยกกระจัดกระจาย ในขณะที่การจัดการข้อมูลในปัจจุบันมุ่งเน้นเฉพาะแอพพลิเคชั่นหลักๆ ขององค์กร ซึ่งแอพพลิเคชั่นแต่ละตัวก็มีเครื่องมือการจัดการข้อมูล คำอธิบายข้อมูล และอินเทอร์เฟซที่แตกต่างกัน ทำให้ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาลในการผนวกรวมระบบการจัดการข้อมูลที่แยกกระจายเหล่านี้เข้าด้วยกัน และเมื่อมีการกำหนดนโยบายใหม่ด้านข้อมูลเพื่อให้สอดรับกับความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนไป องค์กรก็ต้องปรับใช้นโยบายดังกล่าวกับแอพพลิเคชั่นหลักแต่ละตัวไปพร้อมๆกัน
แนวทางใหม่
เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากข้อมูลโดยเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด องค์กรต่างๆ จึงหันมามองทางเลือกใหม่ นั่นคือ ระบบการจัดการวงจรการใช้งานของข้อมูล โดยมีเป้าหมายที่จะตอบสนองความจำเป็นทางธุรกิจอย่างครบถ้วน ทั้งในส่วนของแอพพลิเคชั่น กฎระเบียบ ความต้องการของผู้ใช้ และนโยบายขององค์กร โดยเสียค่าใช้จ่ายโดยรวมน้อยที่สุดกลยุทธ์การจัดการวงจรการใช้งานของข้อมูลให้ประสบผลสำเร็จจะต้อง:
- มุ่งเน้นธุรกิจ: สอดคล้องกับกระบวนการทำงาน ขีดความสามารถ และกิจกรรมต่างๆ ขององค์กรธุรกิจ
- อ้างอิงนโยบาย: สอดคล้องตามนโยบายด้านการจัดการข้อมูลทั่วทั้งองค์กร โดยครอบคลุมกระบวนการทำงาน แอพพลิเคชั่น และทรัพยากรทั้งหมด
- มีระบบจัดการแบบรวมศูนย์: ใช้มุมมองเดียวกันสำหรับการจัดการข้อมูลทั้งหมดภายในองค์กร
- รองรับระบบที่หลากหลาย: สามารถทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มและระบบปฏิบัติการทุกชนิด
- สอดคล้องกับคุณประโยชน์ของข้อมูล: จัดสรรทรัพยากรสตอเรจให้เหมาะสมกับคุณประโยชน์ในเชิงธุรกิจของข้อมูล ณ เวลาหนึ่งๆ
ILM จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริหารจัดการข้อมูล ระบบการจัดการแบบใหม่จะทำงานโดยอัตโนมัติและปราศจากความยุ่งยากซับซ้อน โดยแทนที่จะต้องวุ่นวายกับเครื่องมือด้านการจัดการข้อมูลหลากหลายประเภท ผู้จัดการฝ่ายไอทีก็จะสามารถดูแลระบบโครงสร้างข้อมูลทั้งระบบอย่างทั่วถึงและสอดคล้องจากมุมมองเดียวกัน อีกทั้งไม่จำเป็นต้องปรับใช้ข้อกำหนดด้านข้อมูลด้วยตนเองทีละแอพพลิเคชั่นอีกต่อไป เพียงแค่กำหนดนโยบายที่ครอบคลุมการทำงานทั่วทั้งองค์กร ระบบก็จะทำการย้ายข้อมูลไปยังแพลตฟอร์มการจัดเก็บข้อมูลที่เหมาะสมที่สุดในเวลานั้นโดยอัตโนมัติ
ระบบ ILM จะช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถรักษาคุณประโยชน์ของข้อมูลตลอดอายุการใช้งาน และสามารถตอบสนองได้อย่างทันท่วงทีต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
เส้นทางสู่ ILM
แล้วคุณจะเริ่มต้นก้าวเดินไปตามเส้นทางสู่การจัดการวงจรการใช้งานของข้อมูลได้อย่างไร? องค์กรส่วนใหญ่จะต้องดำเนินการ 3 ขั้นตอนหลักๆ ได้แก่ การติดตั้งเครือข่ายสตอเรจอัตโนมัติ การปรับใช้แนวทางและนโยบาย ILM สำหรับแอพพลิเคชั่นบางตัว และการสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐาน ILM ที่ครอบคลุมทุกแอพพลิเคชั่น
ขั้นแรก จะต้องยกเลิกการจัดเก็บข้อมูลแบบเชื่อมต่อโดยตรง (direct-attached storage หรือ DAS) แล้วสร้างเครือข่ายสตอเรจขึ้นมา จากนั้นก็ติดตั้งระบบอัตโนมัติให้กับส่วนสำคัญ ของเครือข่ายสตอเรจ เพื่อเพิ่มความสะดวกและลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการทรัพยากรเหล่านี้ และทำให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้น จะต้องดำเนินการแจกแจงประเภทของข้อมูลทั่วทั้งองค์กร โดยจะต้องจัดทำหมวดหมู่และจัดระเบียบข้อมูลให้สอดคล้องกับคุณประโยชน์ ชนิด และความต้องการของข้อมูลนั้นๆ เช่น ความพร้อมใช้งาน การกู้คืน ความปลอดภัย ค่าใช้จ่าย และการต้องปฏิบัติตามข้อบังคับต่างๆขั้นตอนที่สอง กำหนดนโยบายทางธุรกิจสำหรับข้อมูลชนิดต่างๆ โดยคุณควรกำหนดเป้าหมายไว้ที่แอพพลิเคชั่นหลักจำนวนหนึ่ง แล้วเริ่มปรับใช้แนวทาง ILM กับแอพพลิเคชั่นดังกล่าว
สองขั้นตอนแรกเป็นการวางรากฐานเพื่อประโยชน์สูงสุดที่จะได้รับ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาราว 2 ปีจึงจะเห็นผลเป็นรูปธรรม นั่นคือ การจัดการวงจรการใช้งานของข้อมูลที่ทำงานแบบอัตโนมัติทั้งหมด ระบบการทำงานแบบครบวงจรนี้จะทำให้คุณสามารถปรับใช้นโยบายที่มุ่งเน้นธุรกิจสำหรับระบบโครงสร้างไอทีทั้งระบบซึ่งประกอบด้วยอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์จากผู้ผลิตหลายราย และสามารถจับคู่แอพพลิเคชั่นเข้ากับระดับบริการที่เหมาะสมได้อย่างทันท่วงที โดยทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้การควบคุมจากศูนย์กลางเพียงจุดเดียว ในขั้นตอนนี้ ระบบ ILM จะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ โดยระบบดังกล่าวจะสามารถดำเนินการตัดสินใจโดยอัตโนมัติได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย เพื่อให้ข้อมูลพร้อมใช้งานสำหรับแอพพลิเคชั่นที่เหมาะสมเมื่อถึงเวลาที่จำเป็น โดยเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด และสอดคล้องกับกฎเกณฑ์และนโยบายทางธุรกิจที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้า นอกจากนั้น ระบบยังสามารถทำการปรับเปลี่ยนในแบบเรียลไทม์ เมื่อคุณประโยชน์ของข้อมูลเปลี่ยนไป
ขั้นตอนทั้งหมดที่ระบุข้างต้นจะช่วยให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายไอทีสามารถพัฒนาทักษะและวิธีการ เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับความต้องการด้านสารสนเทศขององค์กร และสามารถขยายขอบเขตของระบบอัตโนมัติเมื่อมีประสบการณ์ในเชิงปฏิบัติเพิ่มมากขึ้นขั้นตอนถัดไป
เทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลมีวิวัฒนาการอย่างรวดเร็วในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยในแต่ละขั้นตอนของวิวัฒนาการดังกล่าว อุปกรณ์การจัดเก็บข้อมูลได้รับเชื่อมต่อเข้ากับเซิร์ฟเวอร์มากขึ้นเรื่อยๆ และเพิ่มขีดความสามารถและความยืดหยุ่นในการทำงานให้แก่ผู้ใช้อย่างต่อเนื่อง ในระบบสตอเรจแบบเชื่อมต่อโดยตรง (DAS) นั้น ความสัมพันธ์ระหว่างสตอเรจอะเรย์กับเซิร์ฟเวอร์จะเป็นความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง แต่ในขั้นตอนถัดมาของการพัฒนา อุปกรณ์สตอเรจระดับองค์กรแต่ละตัวได้เชื่อมต่อเข้ากับเซิร์ฟเวอร์หลายสิบเครื่อง และเมื่อมีการพัฒนาเครือข่ายสตอเรจเพิ่มเติม ก็ทำให้สามารถเชื่อมต่อสตอเรจอะเรย์แต่ละตัวเข้ากับเซิร์ฟเวอร์ได้นับร้อยนับพันเครื่องเลยทีเดียว ซึ่งการเชื่อมต่อเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่เช่นนี้จำเป็นที่ต้องมีระบบอัตโนมัติมารองรับสำหรับการจัดการอุปกรณ์ทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ จึงมีการพัฒนาไปสู่เครือข่ายสตอเรจอัตโนมัติ (Automated Networked Storage)
แต่ละขั้นตอนของวิวัฒนาการดังกล่าวเป็นการต่อยอดจากพื้นฐานของการพัฒนาก่อนหน้านี้ และในปัจจุบัน บนพื้นฐานที่มั่นคงของเครือข่ายสตอเรจอัตโนมัติ และโดยอาศัยการผนวกรวมฟังก์ชั่นเพิ่มเติมของการจัดการข้อมูลแบบครบวงจร เรากำลังมุ่งหน้าสู่ขั้นตอนถัดไป นั่นคือ การจัดการวงจรการใช้งานของข้อมูล
ข้อมูลเกี่ยวกับอีเอ็มซี
อีเอ็มซี คือผู้นำแห่งโลกธุรกิจระบบสตอเรจ ที่คิดค้นทั้งระบบ, ซอฟต์แวร์, ระบบเครือข่าย และ การให้บริการต่างๆ ทั้งยังพัฒนาโซลูชั่นระบบเครือข่ายสตอเรจ แบบอัตโนมัติ เพื่อช่วยให้หน่วยงานต่างๆทั่วโลกสามารถดึงและใช้ข้อมูลต่างๆที่มีอยู่ได้ในระดับสูงสุดและใช้ต้นทุนทั้งหมดขั้นต่ำสุด ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอีเอ็มซี สามารถรับได้ผ่านทางเว็บไซต์ www.EMC.com
สำหรับสื่อมวลชน : สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ :
Khoo YinSenior Marcom SpecialistEMC South AsiaTel: +65-6427-1741Fax: +65-6333-6878Email:
[email protected] Local PR agency contactเมธาวี เฉลิมธนศักดิ์
บริษัท พีซี แอนด์ แอสโซซิเอทส์ คอนซัลติ้ง จำกัดโทร : 0-2971-3711โทรสาร : 0-2521-9030Email :
[email protected]จบ--
-รก-