กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานฯ เผย ตลาดดีบุกเริ่มฟื้นตัวในรอบ 10 ปี

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

กรุงเทพฯ--7 พ.ค.--กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ นายอนุสรณ์ เนื่องผลมาก อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม แถลงว่า ขณะนี้ตลาดดีบุกมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นอย่างเห็นได้ตั้งแต่ปลายปี 2546 และในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2547 ที่ผ่านมาราคาดีบุกที่ตลาดกัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur Tim Market : KLTM) ยังคงปรับตัวสูงขึ้น โดยมีการปรับตัวสูงขึ้นจากระดับราคาเฉลี่ยเดือนมกราคม 2547 ที่ 6,520 เหรียญสหรัฐ/ตัน เป็น 7,570 เหรียญสหรัฐ/ตันในเดือนมีนาคม 2547 และปรับตัวสูงขึ้นอีกเป็น 9,500 เหรียญสหรัฐ/ตันเมือต้นเดือนเมษายน 2547 โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาดีบุกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากสต็อคดีบุกที่ตลาดโลหะลอนดอน (London Metal Exchange : LME) ลดลงอย่างต่อเนื่อง และประเทศผู้ใช้ดีบุกมีความต้องการใช้เพิ่มสูงขึ้น ตามสภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งการเคลื่อนไหวของระดับราคาดีบุกที่สูงขึ้นในรอบกว่า 10 ปีนี้จะเป็นสิ่งจูงใจให้ผู้ประกอบการทำเหมืองหันมาฟื้นฟูกิจการ เพราะได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ในฐานะหน่วยงานราชการที่เป็นองค์กรหลักของประเทศในการบริหารจัดการและพัฒนาอุตสาหกรรมเหมืองแร่และอุตสาหกรรมพื้นฐานให้เป็นไปอย่างมีดุลยภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ได้มีการวิเคราะห์สถานการณ์ตลาดดีบุกถึงสาเหตุที่ทำให้ระดับราคาเพิ่มสูงขึ้น ดังนี้ ภาพรวมของตลาดดีบุก การซื้อขายดีบุกในประเทศไทยใช้ราคาตลาด KLTM และตลาด LME ส่วนการกำหนดราคาตลาดเพื่อถือเป็นเกณฑ์ในการประกาศราคาเพื่อเรียกเก็บค่าภาคหลวงแร่ดีบุกของกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ใช้ราคาตลาด KLTM หากปรากฎว่าตลาด KLTM ไม่มีการซื้อขายติดต่อกันเกิน 3 วันทำการ ให้ใช้ราคาตลาด LME ในปี 2546 ราคาดีบุกมีทิศทางดีขึ้น กล่าวคือ ราคาเฉลี่ยดีบุกในตลาด KLTM เคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 4,436-6,007 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนตลาด LME เคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 4,443-6,287 เหรียญสหรัฐ/ตัน และในปี 2547 ราคาดีบุกได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี โดยราคาเฉลี่ยดีบุกในตลาด KLTM เคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 6,520-9,500 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนตลาด LME ระดับราคาอยู่ระหว่าง 6,485-9,245 เหรียญสหรัฐ/ตัน สาเหตุที่ทำให้ระดับราคาดีบุกเพิ่มสูงขึ้น มาจากปัจจัย 2 ประการ ประการแรกคือ สต็อคดีบุกโลกลดลงจาก 51,700 ตัน ในปี 2544 เหลือ 35,000 ตัน ในปี 2546 โดยเฉพาะสต็อคที่ตลาด LME ลดลงจาก 30,600 ตัน ในปี 2544 เหลือเพียง 13,000 ตัน ในปี 2546 และปี 2547 ณ วันที่ 27 เมษายน 2547 เหลือเพียง 6,570 ตัน ส่วนสาเหตุประการที่ 2 คือ อุปสงค์โลหะดีบุกโลกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จนอุปทานโลหะดีบุกในตลาดไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ โดยในปี 2546 ปริมาณความต้องการใช้โลหะดีบุกเพิ่มขึ้นจากปี 2545 ร้อยละ 6.6 ในขณะที่ผลผลิตโลหะดีบุกเพิ่มสูงขึ้นไม่ถึงร้อยละ 1 เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจของโลกมีการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ทำให้ประเทศผู้ใช้ดีบุกมีความต้องการใช้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตแร่และผู้ใช้โลหะดีบุกรายสำคัญ แม้จะมีผลผลิตแร่ดีบุกเพิ่มขึ้นจำนวน 9,700 ตันแต่ไม่เพียงพอที่จะสนองความต้องการใช้โลหะดีบุกในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นกว่าร้อยละ 20 ได้ ประกอบกับผู้ผลิตแร่ดีบุกรายอื่น อาทิ อินโดนีเซีย บราซิล และออสเตรเลีย มีผลผลิตลดลง โดยเฉพาะประเทศอินโดนีเซียผลผลิตลดลงประมาณ 10,000 ตัน ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ประกอบการทำเหมืองแร่ดีบุกทั้งหมด 87 เหมือง เปิดการทำเหมือง 20 เหมือง หยุดการทำเหือง 67 เหมือง เมื่อราคาดีบุกปรับตัวสูงขึ้น รัฐจะมีรายได้จากค่าภาคหลวงแร่ดีบุกที่เพิ่มขึ้น และผู้ประกอบการจะได้รับประโยชน์จากรายได้ในการขายแร่เพิ่มขึ้น ส่วนผู้ประกอบการที่หยุดการทำเหมืองจะมีโอกาสฟื้นฟูกิจการทำเหมืองแร่ดีบุกใรอนาคตอันใกล้ แต่อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการผลิตแร่และโลหะไม่สามารถเร่งผลผลิตให้มากขึ้นตามราคาดีบุกที่เพิ่มสูงขึ้นได้ เนื่องจากความสมบูรณ์ของแหล่งแร่ลดน้อยลง พื้นที่ในการทำเหมืองมีอยู่จำกัดไม่สามารถขยายพื้นที่ได้ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ จะได้ติดตามสถานการณ์ตลาดดีบุกอย่างใกล้ชิดและจะเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้ประกอบการเร่งผลิตแร่ดีบุกเพื่อสนองความต้องการของตลาด ซึ่งมีแนวโน้มการบริโภคเพิ่มขึ้นมากกว่าการผลิตตลอดปี 2547 ท่านใดสนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักอุตสาหกรรมพื้นฐาน กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ถ.พระราม 6 เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 โทรศัพท์ 0-2202-3674 หรือที่ ฝ่ายช่วยอำนวยการและประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม โทรศัพท์ 0-2202-3555, 57, 65 โทรสาร 0-2644-8746--จบ-- -ลจ/นห-

ข่าวกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่+กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานวันนี้

STGT ชูแนวคิด Waste to Value สร้างคุณค่าทางสังคมและเศรษฐกิจ ภายใต้งาน "พัฒนาองค์กร ก้าวสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อมุ่งสู่ความยั่งยืน" ปีที่ 4

นางสาวธัญญ์รวี ฐานนท์วรพงษ์ (ที่ 4 จากขวา) ผู้จัดการฝ่ายสิ่งแวดล้อม สาขาอันวาร์ และสาขาสะเดา พี.เอส. บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ได้ร่วมบรรยายและแบ่งปันประสบการณ์ในหัวข้อ "การสร้างมูลค่าและโอกาสทางธุรกิจด้วยแนวคิด Waste to Value" ผ่านกลยุทธ์ "Upcycling" ภายใต้งานสัมมนา "พัฒนาองค์กร ก้าวสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อมุ่งสู่ความยั่งยืน ปีที่ 4" จัดโดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ (สรอ.) โดยหนึ่งในโครงการที่ STGT

นายอดิทัต วะสีนนท์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้... สภาการเหมืองแร่ — นายอดิทัต วะสีนนท์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เป็นประธานเปิดงาน "การประชุมสามัญประจำปี 2567" พร้อมบรรยายพิเศษหัวข้อ ...

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งช... สวทช. ผนึกกำลัง กพร. ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพื้นฐานและเหมืองแร่ไทยสู่อุตสาหกรรม 4.0 — สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และกรมอุตสาหกรรมพื...

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งช... สวทช. ผนึกกำลัง กพร. ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพื้นฐานและเหมืองแร่ไทยสู่อุตสาหกรรม 4.0 — สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และกรมอุตสาหกรรมพื...

คุณศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธนะกุล ประธานเจ้าหน... TPBI ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานการรับรองแห่งชาติ (มตช.9-2565) — คุณศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธนะกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท ทีพีบีไอ จำกัด (มหาชน) เป็นตัว...

บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน... CHOW มุ่งยกระดับธุรกิจสู่องค์กร"คาร์บอนต่ำ"เปิดทางสู่ตลาดโลก — บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOW ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์...