ผลการศึกษาโครงการจัดทำแผนแม่บทด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อการพัฒนาแหล่งแร่ทรายแก้วใน 6 จังหวัดภาคใต้

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

กรุงเทพฯ--22 มิ.ย.--กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ผลการศึกษาโครงการจัดทำแผนแม่บทด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อการพัฒนาแหล่งแร่ทรายแก้วในเขตพื้นที่ศักยภาพแหล่งแร่ 6 จังหวัดภาคใต้ นายอนุสรณ์ เนื่องผลมาก อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม แถลงผลการศึกษาโครงการจัดทำแผนแม่บทด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อการพัฒนาแหล่งแร่ทรายแก้วในเขตพื้นที่ศักยภาพแหล่งแร่หรือเขตเศรษฐกิจแร่ 6 จังหวัดภาคใต้ คือ จังหวัดนครศรีธรรมราช สงขลา ชุมพร ตรัง ปัตตานี และกระบี่ รวมพื้นที่ที่ศึกษาทั้งหมดประมาณ 140,745 ไร่ พบพื้นที่ศักยภาพแหล่งแร่ทรายแก้วที่มีความเหมาะสมต่อการพัฒนาประมาณ 73,938 ไร่ มีปริมาณแร่ทรายแก้วสำรองประมาณ 509.57 ล้านเมตริกตัน จากการที่กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ได้ว่าจ้างบริษัท พรี ดีเวลลอปเมนท์ คอนซัลแตนท์ จำกัด เป็นผู้ดำเนินการศึกษาโครงการจัดทำแผนแม่บทด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อการพัฒนาแหล่งแร่ทรายแก้วในเขตพื้นที่ศักยภาพแหล่งแร่หรือเขตเศรษฐกิจแร่ (จังหวัดนครศรีธรรมราช สงขลา ชุมพร ตรัง ปัตตานี และกระบี่) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดเขตศักยภาพแหล่งแร่ทรายแก้วในบริเวณภาคใต้พร้อมจัดทำแผนการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพข้อจำกัดทางด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ รวมทั้งศึกษาเปรียบเทียบผลตอบแทนในการพัฒนาเพื่อการทำเหมืองแร่กับการพัฒนาในเชิงธุรกิจอื่นๆ ในเขตศักยภาพแหล่งแร่ ผลการศึกษามีรายละเอียดดังนี้ 1. การกำหนดพื้นที่ศักยภาพแหล่งแร่ทรายแก้วที่เหมาะสมต่อการพัฒนา ได้แก่ - แหล่งแร่ทรายแก้ว จังหวัดนครศรีธรรมราช มีพื้นที่แหล่งแร่ 5 แหล่ง คือ พื้นที่แหล่งแร่ อำเภอขนอม อำเภอสิชล อำเภอท่าศาลา อำเภอพรหมคีรี และอำเภอเมือง มีพื้นที่ประมาณ 52,860 ไร่ มีปริมาณแร่สำรองรวมประมาณ 456.05 ล้านเมตริกตัน เป็นพื้นที่ศักยภาพแหล่งแร่ที่เหมาะสมต่อการพัฒนาทั้งหมด 34,530 ไร่ มีปริมาณแร่สำรอง 309.73 ล้านเมตริกตัน - แหล่งแร่ทรายแก้ว จังหวัดสงขลา มีพื้นที่แหล่งแร่ 3 แหล่ง คือ พื้นที่แหล่งแร่ อำเภอเมือง อำเภอจะนะ และอำเภอเทพา มีพื้นที่ประมาณ 27,389 ไร่ มีปริมาณแร่สำรองรวมประมาณ 125.3 ล้านเมตริกตัน เป็นพื้นที่ศักยภาพแหล่งแร่ที่เหมาะสมต่อการพัฒนาทั้งหมด 22,393 ไร่ มีปริมาณแร่สำรอง 101.20 ล้านเมตริกตัน - แหล่งแร่ทรายแก้ว จังหวัดชุมพร มีพื้นที่แหล่งแร่ 5 แหล่ง คือ พื้นที่แหล่งแร่ อำเภอเมือง อำเภอประทิว อำเภอสวี อำเภอทุ่งตะโก และอำเภอหลังสวน มีพื้นที่ประมาณ 14,850 ไร่ มีปริมาณแร่สำรองรวมประมาณ 73.01 ล้านเมตริกตัน เป็นพื้นที่ศักยภาพแหล่งแร่ที่เหมาะสมต่อการพัฒนาทั้งหมด 7,559 ไร่ มีปริมาณแร่สำรอง 39.59 ล้านเมตริกตัน - แหล่งแร่ทรายแก้ว จังหวัดตรัง มีพื้นที่แหล่งแร่ 2 แหล่ง คือ พื้นที่แหล่งแร่ อำเภอสิเกา และอำเภอกันตัง มีพื้นที่ประมาณ 15,411 ไร่ มีปริมาณแร่สำรองรวมประมาณ 78.92 ล้านเมตริกตัน เป็นพื้นที่ศักยภาพแหล่งแร่ที่เหมาะสมต่อการพัฒนาทั้งหมด 1,725 ไร่ มีปริมาณแร่สำรอง 10.56 ล้านเมตริกตัน - แหล่งแร่ทรายแก้ว จังหวัดปัตตานี มีพื้นที่แหล่งแร่ 1 แหล่ง คือ พื้นที่แหล่งแร่ อำเภอยะหริ่ง และมายอ มีพื้นที่ประมาณ 4,318 ไร่ มีปริมาณแร่สำรองรวมประมาณ 25.70 ล้านเมตริกตัน เป็นพื้นที่ศักยภาพแหล่งแร่ที่เหมาะสมต่อการพัฒนาทั้งหมด 3,714 ไร่ มีปริมาณแร่สำรอง 22.99 ล้านเมตริกตัน - แหล่งแร่ทรายแก้ว จังหวัดกระบี่ มีพื้นที่แหล่งแร่ 2 แหล่ง คือ พื้นที่แหล่งแร่ อำเภอเหนือคลอง และอำเภอเกาะลันตา มีพื้นที่ประมาณ 25,917 ไร่ มีปริมาณแร่สำรองรวมประมาณ 139.10 ล้านเมตริกตัน เป็นพื้นที่ศักยภาพแหล่งแร่ที่เหมาะสมต่อการพัฒนาทั้งหมด 4,017 ไร่ มีปริมาณแร่สำรอง 25.50 ล้านเมตริกตัน 2. การจัดลำดับความเหมาะสมในการพัฒนาพื้นที่ศักยภาพแหล่งแร่ทรายแก้ว ได้พิจารณาจากความเหมาะสมด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการพัฒนาเหมืองแร่ และด้านขนส่ง โดยการนำระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เข้ามาประยุกต์ใช้ ผลการจัดลำดับในการพัฒนาพื้นที่ศักยภาพแหล่งแร่ จะแบ่งออกเป็น 2 กรณีได้แก่ - กรณีที่ 1 ศูนย์กลางอุตสาหกรรมผลิตแก้วอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออก (ปัจจุบันศูนย์กลางอุตสาหกรรมผลิตแก้วตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง) พื้นที่ศักยภาพแหล่งแร่ทรายแก้วที่เหมาะสมในการพัฒนา 3 อันดับแรก คือ จังหวัดนครศรีธรรมราช สงขลาหรือชุมพร และตรัง ตามลำดับ - กรณีที่ 2 หากมีการตั้งศูนย์กลางอุตสาหกรรมผลิตแก้วในพื้นที่ภาคใต้ โดยอาจตั้งขึ้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช หรือสงขลา พื้นที่ศักยภาพแหล่งแร่ทรายแก้วที่เหมาะสมในการพัฒนาที่สุด คือ จังหวัดที่เป็นที่ตั้งของศูนย์กลางอุตสาหกรรมผลิตแก้ว 3. การศึกษาวิเคราะห์โครงการทางด้านเศรษฐศาสตร์ในพื้นที่ศักยภาพแหล่งแร่ทรายแก้ว ได้ทำการวิเคราะห์จากต้นทุนและผลตอบแทนทางการเงินของพื้นที่ศักยภาพแหล่งแร่ทรายแก้ว โดยเมื่อพิจารณาจากภาพรวมของพื้นที่ศักยภาพแหล่งแร่ทรายแก้วทุกแห่ง พบว่า แนวทางที่เหมาะสมสำหรับการใช้ประโยชน์พื้นที่ศักยภาพแหล่งแร่ทรายแก้ว คือ การทำเหมืองแร่ทรายแก้วในพื้นที่ก่อนแล้วจึงฟื้นฟูที่เพื่อทำธุรกิจอื่น 4. การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากการพัฒนาพื้นที่ศักยภาพแหล่งแร่ทรายแก้ว พบว่า พื้นที่ศึกษาส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ที่ไม่มีข้อจำกัดทางด้านสิ่งแวดล้อมในระดับที่รุนแรง แต่ต้องมีมาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม มาตรการเมื่อสิ้นสุดการทำเหมือง และมาตรการในการติดตามตรวจสอบที่เหมาะสม แร่ทรายแก้ว เป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ในอุตสาหกรรมหลายๆ ประเภทที่ล้วนแต่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศเป็นอย่างยิ่ง ได้แก่ อุตสาหกรรมผลิตแก้ว อุตสาหกรรมกระจก อุตสาหกรรมเซรามิก อุตสาหกรรมหล่อโลหะ อุตสาหกรรมเคมี เป็นต้น ซึ่งแต่ละอุตสาหกรรมจะมีปริมาณความต้องการใช้ทรายแก้วแตกต่างกันไปตามประเภทของผลิตภัณฑ์ที่ผลิต ปัจจุบันประเทศไทยมีการผลิตแร่ทรายแก้วปีละ 1.3 ล้านเมตริกตัน จังหวัดระยอง ผลิตแร่ได้ 1 ล้านเมตริกตัน และจันทบุรี ผลิตแร่ได้ 0.3 ล้านเมตริกตัน คิดเป็นมูลค่า 453 ล้านบาท และใช้เป็นวัตถุดิบในประเทศ 1.2 ล้านเมตริกตัน คิดเป็นมูลค่า 430 ล้านบาท ผู้ที่สนใจต้องการข้อมูล และรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ กลุ่มส่งเสริมการจัดการสิ่งแวดล้อม สำนักบริหารและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ถนนพระราม 6 ราชเทวี กรุงเทพฯ โทรศัพท์ 0-2245-9391 หรือ 0-2202-3741 โทรสาร 0-2202-3681--จบ-- -วว/นท-

ข่าวกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่+จังหวัดนครศรีธรรมราชวันนี้

วว.หารืออธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ พัฒนางานวิจัยด้าน Low Carbon Society และ Circular Economy

ดร. พัชทรา มณีสินธุ์ รองผู้ว่าการวิจัยและพัฒนาด้านพัฒนาอย่างยั่งยืน (พย.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) พร้อมด้วย คณะผู้บริหารกลุ่ม พย. ประกอบด้วย ดร.สุวิทย์ อัจริยะเมต ผู้อำนวยการศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมหุ่นยนต์และเครื่องจักรกลอัตโนมัติ นายเฉลิมชัย จีระพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมพลังงานสะอาดและสิ่งแวดล้อม และดร.เรวดี อนุวัฒนา รักษาการผู้อำนวยการศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมวัสดุ หารือแนวทางความร่วมมือกับ ดร.อดิทัต วะสีนนท์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่

นายอดิทัต วะสีนนท์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้... สภาการเหมืองแร่ — นายอดิทัต วะสีนนท์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เป็นประธานเปิดงาน "การประชุมสามัญประจำปี 2567" พร้อมบรรยายพิเศษหัวข้อ ...

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งช... สวทช. ผนึกกำลัง กพร. ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพื้นฐานและเหมืองแร่ไทยสู่อุตสาหกรรม 4.0 — สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และกรมอุตสาหกรรมพื...

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งช... สวทช. ผนึกกำลัง กพร. ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพื้นฐานและเหมืองแร่ไทยสู่อุตสาหกรรม 4.0 — สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และกรมอุตสาหกรรมพื...

คุณศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธนะกุล ประธานเจ้าหน... TPBI ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานการรับรองแห่งชาติ (มตช.9-2565) — คุณศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธนะกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท ทีพีบีไอ จำกัด (มหาชน) เป็นตัว...

บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน... CHOW มุ่งยกระดับธุรกิจสู่องค์กร"คาร์บอนต่ำ"เปิดทางสู่ตลาดโลก — บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOW ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์...

บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน... โรงหลอมเหล็ก CHOW รับรางวัล CSR-DPIM ประจำปี 2565 เป็นปีที่ 5 — บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOW ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ...

บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน... หนุนศก.หมุนเวียน "SSI-กพร.-ม.สุรนารี" วิจัยสำเร็จ แปรกรดเกลือเสื่อมสภาพเป็นวัตถุดิบทำสีกันสนิม — บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ "เอสเอสไอ...