ฟิทช์เพิ่มอันดับเครดิตของธนาคารไทยขนาดใหญ่จากการที่ผลกำไรของธนาคารปรับตัวดีขึ้น

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

กรุงเทพฯ--4 ก.พ.--ฟิทช์ เรทติ้งส์

ฟิทช์ บริษัทจัดอันดับเครดิตข้ามชาติประกาศเพิ่มอันดับเครดิตแก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารทหารไทย และธนาคารเอเชีย ในขณะเดียวกัน ฟิทช์ได้ประกาศคงอันดับเครดิตของธนาคารกรุงไทย การเปลี่ยนอันดับเครดิตสืบเนื่องมาจากการที่ธนาคารไทยได้ประกาศผลประกอบการเบื้องต้นสำหรับปี 2547 ซึ่งโดยรวมแล้วแสดงให้เห็นถึงการทำกำไรที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากอัตราการเจริญเติบโตของสินเชื่อที่แข็งแกร่งขึ้น ต้นทุนการให้สินเชื่อที่ลดลง และการกันสำรองหนี้สูญที่ลดลง ฟิทช์กล่าวว่า แนวโน้มในอนาคตของภาคธุรกิจธนาคารยังคงเป็นบวก เนื่องจาก สภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยยังคงแข็งแกร่ง ราคาอสังหาริมทรัพย์และสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้น และการระดมเงินจากภาคธุรกิจและผู้บริโภครายย่อยที่ปรับตัวสูงขึ้น ปัจจัยเหล่านี้น่าจะช่วยทำให้ความแข็งแกร่งของภาคธุรกิจธนาคารไทยฟื้นตัวอย่างเต็มที่ภายใน 2 ถึง 3 ปีข้างหน้า ในขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเบื้องต้น อยู่ในระดับที่สูงกว่าปกติและอาจจะลดลงได้ ถ้าสภาพคล่องในระบบเริ่มตึงตัว ผลเสียที่จะเกิดขึ้นกับการทำกำไรของธนาคารไทยจากการที่ต้นทุนการให้สินเชื่อที่อาจเพิ่มขึ้นน่าจะถูกทำให้เบาบางลงโดยระดับหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่ลดลง และอัตราการเติบโตของสินเชื่อที่แข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นอัตรากำไรส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิและความสามารถในการทำกำไรโดยรวมน่าจะแข็งแกร่งขึ้นในปี 2548 และ 2549 ฟิทช์กล่าวว่าในขณะที่ระดับสำรองหนี้สูญและเงินกองทุนของธนาคารไทยได้ปรับตัวดีขึ้นจากเดิม อัตราการเติบโตของสินทรัพย์ที่แข็งแกร่งขึ้นใน 2 ถึง 3 ปีข้างหน้าอาจจะทำให้บางธนาคารไทยต้องระดมทุนเพิ่มหรือลดแรงกดดันที่อาจเกิดขึ้นกับเงินกองทุนด้วยวิธีแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ (Securitization) ธนาคารไทยพาณิชย์และธนาคารกสิกรไทย มีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งที่สุด เมื่อพิจารณาถึงผลกำไร คุณภาพของสินทรัพย์ และความสามารถในการทำกำไร ธนาคารไทยพาณิชย์ซึ่งเป็นผู้ให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยภาคเอกชนรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีผลกำไรสุทธิจำนวน 18.5 พันล้านบาทในปี 2547 ซึ่งผลกำไรนี้เป็นผลมาจากต้นทุนการให้สินเชื่อที่ลดลง รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการที่ปรับตัวดีขึ้น และกำไรพิเศษจากเงินลงทุนที่สูงขึ้น อัตราค่าใช้จ่ายต่อรายได้ ระดับการกันสำรองหนี้สูญ และเงินกองทุนของธนาคารไทยพาณิชย์ในขณะนี้อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาธนาคารไทย ในขณะเดียวกัน ธนาคารกสิกรไทย ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศไทย รายงานผลกำไรสุทธิจำนวน 15.3 พันล้านบาทในปี 2547 การปรับตัวดีขึ้นของผลกำไรของธนาคารกสิกรไทยเป็นผลมาจากต้นทุนการให้สินเชื่อที่ลดลง ซึ่งส่วนใหญ่สืบเนื่องมาจากการที่ธนาคารไถ่ถอนหุ้นกู้ควบหุ้นบุริมสิทธิ อัตรากำไรส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิและความสามารถในการทำกำไรจากการดำเนินงานของธนาคารกสิกรไทยอยู่ในระดับที่สูงที่สุดในบรรดาธนาคารไทย อันดับเครดิตสากลระยะยาวและระยะสั้นของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิของธนาคารไทยพาณิชย์และธนาคารกสิกรไทยขณะนี้ถูกจำกัดโดยอันดับเครดิตของประเทศไทย ธนาคารกรุงเทพ ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ แสดงผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน จากการที่ผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 17.6 พันล้านบาทในปี 2547 ส่วนใหญ่สืบเนื่องมาจากอัตราการเติบโตของสินเชื่อที่สูงขึ้นและต้นทุนการให้สินเชื่อที่ลดลง คุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารกรุงเทพ มีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่ทางธนาคารจะปรับสถานะของสินเชื่อที่ปล่อยให้กับบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมิคัลไทย (“TPI”) ออกจากสถานะหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ภายหลังการสรุปการฟื้นฟูกิจการของ TPI ส่วนธนาคารกรุงศรีอยุธยา และธนาคารทหารไทย แสดงผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นเช่นเดียวกัน จากการที่ผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 4.7 พันล้านบาท และ 1 พันล้านบาท ตามลำดับ อัตราการเติบโตของผลกำไร คุณภาพของสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้น และการแปลงสภาพของใบสำคัญแสดงสิทธิซึ่งจะทำให้เงินกองทุนเพิ่มขึ้น น่าจะทำให้ธนาคารกรุงศรีอยุธยาสามารถเพิ่มระดับการกันสำรองหนี้สูญได้ ในขณะที่ความสำเร็จในการควบรวมบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกับธนาคารทหารไทยในเชิงปฏิบัติ และการสนับสนุนการดำเนินงานจากธนาคาร DBS ของสิงคโปร์น่าจะช่วยให้ความสามารถในการทำกำไรของธนาคารทหารไทยแข็งแกร่งขึ้นในระยะปานกลาง ธนาคารกรุงไทย ซึ่งเป็นธนาคารของรัฐที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ได้รายงานผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นในปี 2547 เช่นกัน จากการที่อัตรากำไรส่วนต่างดอกเบี้ยและผลกำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 11.1 พันล้านบาท ถึงแม้ว่าคุณภาพของสินทรัพย์และระดับการกันสำรองหนี้สูญของธนาคารจะลดลง ภายหลังการจัดชั้นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ใหม่ในปี 2547 ณ สิ้นปี 2547 ธนาคารกรุงไทยมีอัตราหนี้เสียหลังหักสำรองต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 74.2% ซึ่งอยู่ในระดับที่อ่อนแอกว่าธนาคารไทยขนาดใหญ่ ในขณะที่การถือหุ้นส่วนใหญ่และการควบคุมของรัฐบาลเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับเครดิตระยะยาวของธนาคารกรุงไทย มันก็ได้จำกัดระดับคุณภาพสินทรัพย์และขีดความสามารถในการทำกำไรของธนาคาร ส่วนธนาคารเอเชียซึ่งถูกซื้อโดยธนาคารยูโอบีของสิงคโปร์เมื่อปีที่แล้ว มีการกันสำรองหนี้สูญที่มากขึ้น สืบเนื่องมาจากการพิจารณาคุณภาพสินทรัพย์ใหม่ซึ่งมีผลกระทบต่อการทำกำไรของธนาคารในปี 2547 ถึงแม้ว่า การสนับสนุนทางการเงินและการดำเนินงานจากธนาคารยูโอบีน่าจะช่วยทำให้ฐานะทางการเงินของธนาคารแข็งแกร่งขึ้นในปี 2548 และ 2549 การเปลี่ยนอันดับเครดิตมีดังต่อไปนี้ ธนาคารกรุงเทพ (“BBL”): อันดับเครดิตสากลระยะยาวปรับเพิ่มเป็น ‘BBB’ แนวโน้มมีเสถียรภาพ จากเดิม ‘BBB-’ (BBB ลบ); อันดับเครดิตสากลของหุ้นกู้ด้อยสิทธิปรับเพิ่มเป็น ‘BBB-’ (BBB ลบ) จากเดิม ‘BB+’; อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินปรับเพิ่มเป็น ‘C/D’ จากเดิม ‘D’; ส่วนอันดับเครดิตที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงได้แก่: อันดับเครดิตสากลระยะสั้นที่ ‘F3’; อันดับเครดิตสนับสนุนที่ ‘2’ ธนาคารกสิกรไทย (“KBANK”): อันดับเครดิตสากลระยะยาวที่ ‘BBB’ แนวโน้มเปลี่ยนเป็นบวก จากเดิมแนวโน้มมีเสถียรภาพ; อันดับเครดิตสากลของหุ้นกู้ด้อยสิทธิปรับเพิ่มเป็น ‘BBB’ จากเดิม ‘BBB-’ (BBB ลบ); อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินปรับเพิ่มเป็น ‘C’ จากเดิม ‘C/D’; ส่วนอันดับเครดิตที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงได้แก่: อันดับเครดิตสากลระยะสั้นที่ ‘F3’; อันดับเครดิตสนับสนุนที่ ‘2’; อันดับเครดิตในประเทศระยะยาวที่ ‘AA(tha)’ แนวโน้มมีเสถียรภาพ; อันดับเครดิตในประเทศระยะสั้นที่ ‘F1+(tha)’; อันดับเครดิตในประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่ ‘AA-(tha)’ ธนาคารไทยพาณิชย์ (“SCB”): อันดับเครดิตสากลระยะยาวที่ ‘BBB’ แนวโน้มเปลี่ยนเป็นบวก จากเดิมแนวโน้มมีเสถียรภาพ; อันดับเครดิตสากลของหุ้นกู้ด้อยสิทธิปรับเพิ่มเป็น ‘BBB’ จากเดิม ‘BBB-’ (BBB ลบ); อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินปรับเพิ่มเป็น ‘C’ จากเดิม ‘C/D’; ส่วนอันดับเครดิตที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงได้แก่: อันดับเครดิตสากลระยะสั้นที่ ‘F3’; อันดับเครดิตสนับสนุนที่ ‘2’ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (“BAY”): อันดับเครดิตสากลระยะยาวปรับเพิ่มเป็น ‘BB’ แนวโน้มเป็นบวก จากเดิม ‘BB-’ (BB ลบ); อันดับเครดิตสากลของหุ้นกู้ด้อยสิทธิปรับเพิ่มเป็น ‘BB-’ (BB ลบ) จากเดิม ‘B+’; อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินปรับเพิ่มเป็น ‘D’ จากเดิม ‘D/E’; อันดับเครดิตในประเทศระยะยาวปรับเพิ่มเป็น ‘A-(tha)’ (‘A ลบ (tha)’) แนวโน้มเป็นบวก จากเดิม ‘BBB+(tha)’; อันดับเครดิตในประเทศระยะสั้นปรับเพิ่มเป็น ‘F1(tha)’ จากเดิม ‘F2(tha)’; อันดับเครดิตในประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิปรับเพิ่มเป็น ‘BBB+(tha)’ จากเดิม ‘BBB(tha)’; ส่วนอันดับเครดิตที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงได้แก่: อันดับเครดิตสากลระยะสั้นที่ ‘B’; อันดับเครดิตสนับสนุนที่ ‘3’; ธนาคารทหารไทย (“TMB”): อันดับเครดิตสากลระยะยาวปรับเพิ่มเป็น ‘BB+’ แนวโน้มเป็นบวก จากเดิม ‘BB-’ (BB ลบ); อันดับเครดิตสากลของหุ้นกู้ด้อยสิทธิปรับเพิ่มเป็น ‘BB’ จากเดิม ‘B+’; อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินปรับเพิ่มเป็น ‘D’ จากเดิม ‘D/E’; อันดับเครดิตในประเทศระยะยาวปรับเพิ่มเป็น ‘A(tha)’ แนวโน้มเป็นบวก จากเดิม ‘BBB+(tha)’; อันดับเครดิตในประเทศระยะสั้นปรับเพิ่มเป็น ‘F1(tha)’ จากเดิม ‘F2(tha)’; อันดับเครดิตในประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิปรับเพิ่มเป็น ‘A-(tha)’ (A ลบ (tha)) จากเดิม ‘BBB(tha)’; ส่วนอันดับเครดิตที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงได้แก่: อันดับเครดิตสากลระยะสั้นที่ ‘B’; อันดับเครดิตสนับสนุนที่ ‘3’; ธนาคารเอเชีย (“BOA”): อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินปรับเพิ่มเป็น ‘C/D’ จากเดิม ‘D’; ส่วนอันดับเครดิตที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงได้แก่: อันดับเครดิตสากลระยะยาวที่ ‘BBB’ แนวโน้มเป็นบวก; อันดับเครดิตสากลระยะสั้นที่ ‘F3’; อันดับเครดิตสนับสนุนที่ ‘2’; อันดับเครดิตในประเทศระยะยาวที่ ‘AA+(tha)’ แนวโน้มมีเสถียรภาพ; อันดับเครดิตในประเทศระยะสั้นที่ ‘F1+(tha)’; อันดับเครดิตในประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่ ‘AA(tha)’ ธนาคารกรุงไทย (“KTB”): อันดับเครดิตไม่เปลี่ยนแปลง: อันดับเครดิตสากลระยะยาวที่ ‘BBB-’ แนวโน้มมีเสถียรภาพ; อันดับเครดิตสากลระยะสั้นที่ ‘F3’; อันดับเครดิตสากลของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่ ‘BB+’; อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินปรับที่ ‘D’; อันดับเครดิตสนับสนุนที่ ‘2’; อันดับเครดิตในประเทศระยะยาวที่ ‘AA(tha)’ แนวโน้มมีเสถียรภาพ; อันดับเครดิตในประเทศระยะสั้นที่ ‘F1+(tha)’; อันดับเครดิตในประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่ ‘AA-(tha)’ (AA ลบ(tha)) ติดต่อ ชัยพัฒน์ ไพฑูรย์, Vincent Milton, กรุงเทพฯ +662 655 4762/4759 David Marshall, ฮ่องกง +852 2263 9963 หมายเหตุ : อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินและอันดับเครดิตสนับสนุนของฟิทช์ อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของฟิทช์วิเคราะห์ถึงสถานะทางการเงินของธนาคารเมื่อไม่มีปัจจัยช่วยเหลือภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้อง อันดับเครดิตสนับสนุนวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ในการที่ทางธนาคารจะได้รับการช่วยเหลือสนับสนุนจากผู้ถือหุ้น หรือ จากรัฐบาลถ้าทางธนาคารประสบปัญหา อันดับเครดิตนี้ไม่ใช่อันดับเครดิตของหนี้ แต่เป็นอันดับความแข่งแกร่งของสถานะการเงินของธนาคาร และระดับการสนับสนุนจากภายนอกซึ่งอาจจะมีหรือไม่มีให้ทางธนาคารก็ได้ หมายเหตุ : การจัดอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Ratings) ใช้วัดความน่าเชื่อถือของบริษัทในประเทศที่อันดับเครดิตของประเทศนั้นอยู่ในระดับต่ำกว่าอันดับเครดิตระดับเพื่อการลงทุน หรือมีอันดับเครดิตอยู่ในระดับต่ำแม้จะอยู่ในระดับเพื่อการลงทุน อันดับเครดิตของบริษัทที่ดีที่สุดของประเทศจะอยู่ที่ระดับ “AAA” และการจัดอันดับเครดิตอื่นในประเทศ จะเป็นการเปรียบเทียบความเสี่ยงกับบริษัทที่ดีที่สุดนี้เท่านั้น อันดับเครดิตภายในประเทศนั้นถูกออกแบบมาเพื่อนักลงทุนภายในประเทศในแต่ละประเทศนั้นๆ และมีสัญลักษณ์ที่กำหนดไว้ต่อท้ายจากอันดับเครดิตสำหรับแต่ละประเทศ เช่น “AAA(tha)” ในกรณีของประเทศไทย อันดับเครดิตภายในประเทศนั้นไม่สามารถนำไปใช้เปรียบเทียบระหว่างประเทศได้ การเปิดเผยข้อมูล: บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม กสิกรไทย จำกัด ซึ่งถือหุ้น 71.4% โดยธนาคารกสิกรไทย ถือหุ้นจำนวน 10% ของบริษัทฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ไม่มีผู้ถือหุ้นใดนอกเหนือจากบริษัทฟิทช์ เรทติ้งส์ จำกัดแห่งประเทศอังกฤษที่มีส่วนในการดำเนินงานและการจัดอันดับเครดิตที่จัดโดยบริษัทฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด--จบ--

ข่าวธนาคารกรุงศรีอยุธยา+ธนาคารไทยขนาดใหญ่วันนี้

Krungsri One Payment คว้ารางวัลระดับโลกด้านนวัตกรรมการชำระเงินองค์กร

กรุงศรี โดย นางสาวนิลวรรณ จีระบุญ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านธุรกรรมการเงิน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) คว้ารางวัล "Outstanding Innovation in Corporate Payments" จากเวที Global Transaction Banking Innovation Awards 2025 ในฐานะผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม "Krungsri One Payment" ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านดิจิทัลโซลูชันสำหรับองค์กร และบทบาทสำคัญในการยกระดับการบริหารจัดการด้านการเงินให้ทันสมัย โปร่งใส และตอบโจทย์การดำเนินธุรกิจยุคดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ Krungsri One Payment เป็นแพลตฟอร์มบริหารจัดการการชำระ

กรุงศรีคาดเงินบาทสัปดาห์นี้ซื้อขายในกรอบ 31.40-32.00 จับตากนง.ลดดอกเบี้ย

กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า เงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 31.40-32.00 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดแข็งค่าที่ 31.61 บาท...

กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน... กรุงศรีทดสอบ THBC ก้าวสำคัญสู่ยุคใหม่การเงินดิจิทัล — กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) เดินหน้าต่อยอดนวัตกรรมการเงินดิจิทัล ทดสอบ THBC ในโครงก...

กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุ... กรุงศรีคาดเงินบาทสัปดาห์นี้ซื้อขายในกรอบ 31.80-32.35 มองเฟดลดดอกเบี้ย ลุ้นโทนสื่อสาร — กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมอง...

นักศึกษา มศว. คว้าแชมป์! ผลงานเพื่อสังคมย... "เมเจอร์-กรุงศรี" ปลุกพลังครีเอเตอร์รุ่นใหม่! ประกาศผลผู้ชนะ "Major Video Contest 2025 by Krungsri" — นักศึกษา มศว. คว้าแชมป์! ผลงานเพื่อสังคมยั่งยืน รับเ...