ทริสเรทติ้งเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ “ภัทรลิสซิ่ง” เป็น “A-/Stable” จาก “BBB+/Stable”

09 Aug 2005

กรุงเทพฯ--9 ส.ค.--ทริสเรทติ้ง

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ภัทรลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) และหุ้นกู้ไม่มีประกันของบริษัท (PL066A PL079A และ PL08OA) เป็นระดับ “A-” จากเดิมที่ระดับ “BBB+” ในขณะเดียวกันได้จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกัน 200 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “A-” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” เช่นเดิม อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงความสามารถของผู้บริหารในการรักษาสถานะผู้นำทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจให้เช่าดำเนินงานรถยนต์ (Operating Lease) ในภาวะที่การแข่งขันทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงระบบการบริหารความเสี่ยงที่ดีและกระบวนการพิจารณาสินเชื่อที่เข้มงวดซึ่งทำให้บริษัทสามารถรักษาคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีในช่วงการขยายตัวของสินทรัพย์ให้เช่า อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงสัดส่วนการกู้ยืมของบริษัทที่ดีขึ้นภายหลังจากการเพิ่มทุนตามแผนซึ่งกำหนดให้เสร็จภายในต้นเดือนกันยายน 2548 อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนด้วยภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจเช่าดำเนินงานรถยนต์ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในอนาคต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงศักยภาพของบริษัทในการรักษาตำแหน่งผู้นำในธุรกิจให้เช่าดำเนินงานรถยนต์และมีผลประกอบการในระยะปานกลางตามที่คาดการณ์ โดยบริษัทมีแนวโน้มที่จะสามารถรักษาฐานลูกค้าเดิมที่สำคัญและขยายฐานลูกค้าใหม่ไปพร้อมกับการรักษาคุณภาพของสินทรัพย์ที่ดีเอาไว้ได้ อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทยังคงได้รับแรงกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรงต่อไป

ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทภัทรลิสซิ่งยังคงมีอัตราการขยายตัวของรายได้และผลกำไรในระดับที่น่าพอใจในช่วง 6 เดือนแรกของงวดบัญชีปี 2548 (ตุลาคม 2547-มีนาคม 2548) โดยมีรายได้จากการให้เช่าดำเนินงานเท่ากับ 712 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอันเนื่องมาจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของสินทรัพย์ให้เช่า อย่างไรก็ตาม บริษัทมีกำไรสุทธิในช่วง 6 เดือนแรกของงวดบัญชีปี 25487 เท่ากับ 95 ล้านบาท โดยลดลงจาก 125 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากบริษัทมีกำไรจากการขายสินทรัพย์เพื่อให้เช่าและรอการขายลดลงและมีการลงทุนในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อให้สามารถรองรับลูกค้าได้มากขึ้น การต้องกู้ยืมเงินเพื่อใช้ในการขยายสินทรัพย์ให้เช่าทำให้บริษัทมีการก่อหนี้ในระดับสูง บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ 200 ล้านบาทในครั้งนี้ไปชำระคืนตั๋วแลกเงินระยะสั้นที่จะครบอายุในเดือนกันยายน 2548 ซึ่งจะทำให้บริษัทมีโครงสร้างสินทรัพย์และหนี้สินที่มีความสอดคล้องกันมากขึ้น ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2548 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 77.98% จาก 75.83% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2547 อย่างไรก็ตาม การก่อหนี้ของบริษัทจะดีขึ้นหลังจากที่บริษัทเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 150 ล้านบาทในเดือนกันยายน 2548 โดยมีราคาเสนอขายอยู่ที่ 2.30 บาทต่อหุ้น ทริสเรทติ้งกล่าว--จบ--