ธนาคารกรุงเทพรายงานผลประกอบการสำหรับไตรมาสแรกของปี 2549 โดยมีกำไรก่อนหักภาษีจำนวน 7,964 ล้านบาท และเมื่อหักภาษีเงินได้นิติบุคคลจำนวน 2,780 ล้านบาทแล้ว ธนาคารมีกำไรสุทธิจำนวน 5,184 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,271 ล้านบาทเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยมีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 2.05 บาท เป็น 2.72 บาท
สินเชื่อของธนาคารในไตรมาสนี้ขยายตัวร้อยละ 2.3 จาก 912,003 ล้านบาท เมื่อสิ้นปี 2548 เป็น 932,678 ล้านบาท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2549 โดยการขยายตัวดังกล่าวเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อจากกลุ่มลูกค้าหลักทุกกลุ่ม ณ สิ้นเดือนมีนาคม ธนาคารมียอดเงินฝากรวมจำนวน 1,153,134 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยร้อยละ 0.3 จากจำนวน 1,156,530 ล้านบาทเมื่อสิ้นปี 2548 ส่งผลให้ธนาคารมีสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 78.9 เมื่อสิ้นปี 2548 เป็นร้อยละ 80.9 เมื่อสิ้นไตรมาสแรกของปี 2549
จากสถานการณ์ในตลาดที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งรายได้และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยของธนาคารจึงเพิ่มขึ้นด้วย โดยค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 1,004 ล้านบาท เป็น 5,470 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ในขณะที่รายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 869 ล้านบาท เป็น 16,670 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารยังคงค่อนข้างทรงตัว โดยลดลงเพียงเล็กน้อย คิดเป็นจำนวน 134.1 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.2
รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยของไตรมาสนี้มีจำนวน 6,432 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 38.5 เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นร้อยละ 49.2 เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว โดยธนาคารมีกำไรจากเงินลงทุนสุทธิ จำนวน 933 ล้านบาท นอกจากนี้ รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการของธนาคารยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.9 เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากบริการที่เกี่ยวกับด้านสินเชื่อและบริการธนาคารอิเล็กทรอนิกส์
ค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยในไตรมาสนี้ลดลง 615 ล้านบาทเป็นจำนวน 8,323 ล้านบาท เนื่องจากในไตรมาสก่อนหน้ามีการตั้งสำรองภาระผูกพันนอกงบดุลจำนวน 720 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษที่เป็นรายการใหญ่เกิดขึ้น
สินเชื่อด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 100,573 ล้านบาทเมื่อสิ้นปี 2548 เป็น 102,493 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 10.9 ของสินเชื่อรวม อย่างไรก็ตาม สินเชื่อชั้นสงสัยและสงสัยจะสูญลดลงจำนวน 4,487 ล้านบาท
ในไตรมาสนี้ ธนาคารได้ตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มเติมจำนวน 1,345 ล้านบาท ทำให้มีสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญรวมทรงตัวใกล้เคียงระดับเดิม โดยมีจำนวน 78,855 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดร้อยละ 64.4 โดยในไตรมาสนี้ธนาคารมีสำรองค่าเผื่อหนี้สูญคิดเป็นร้อยละ 76.9 ของสินเชื่อด้อยคุณภาพเทียบกับร้อยละ 79.1 เมื่อสิ้นปี 2548
ส่วนของผู้ถือหุ้น ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2549 เพิ่มขึ้น จากจำนวน 139,232 ล้านบาทเมื่อสิ้นปี 2548 เป็น 141,719 ล้านบาท
เมื่อนับรวมผลกำไรในไตรมาสนี้และหักเงินปันผลจากผลกำไรงวดหลังของปี 2005 ที่จะจ่ายในเดือนพฤษภาคม 2549 ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงประมาณร้อยละ 14.8 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ประมาณร้อยละ 11.5