สวทช. พัฒนา‘เตาอบไม้’เพิ่มคุณภาพผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์ไม้สนาม โครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย(iTAP)

06 Nov 2006

กรุงเทพฯ--6 พ.ย.--สวทช.

สวทช. จัดส่งผู้เชี่ยวชาญเข้าถ่ายทอดเทคโนโลยีการพัฒนาประสิทธิภาพเตาอบไม้ให้แก่ บ.อุตสาหกรรมดีสวัสดิ์ จำกัด เพิ่มคุณภาพผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์ไม้สนามส่งออก แก้ปัญหาไม้บิดงอ ลดของเสียและตำหนิที่เกิดจากการอบไม้แบบเดิม ช่วยประหยัดเวลาและลดการใช้พลังงานได้ถึง 20% คิดเป็นเงินกว่า 2 แสนบาทต่อปี

นางสาว สนธวรรณ สุภัทรประทีป ผู้อำนวยการโครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย หรือ iTAP ภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า “อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ไทย จัดเป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับการยอมรับจากตลาดโลกในอันดับต้นๆ และเป็นอีกกลุ่มอุตสาหกรรมหนึ่งที่สร้างรายได้เข้าประเทศปีละหลายหมื่นล้านบาท อีกทั้งมีการจ้างงาน และมีอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกว่า 300,000 คน ทำให้ตลาดในกลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์มีขนาดใหญ่ ในจำนวนยอดเฟอร์นิเจอร์ที่ส่งออกทั้งหมดเป็นเฟอร์นิเจอร์จากไม้กว่า 60% แต่เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่ของไทยยังประสบปัญหาเรื่องคุณภาพของไม้ที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งเป็นผลจากการขาดความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการผลิต โดยเฉพาะ “เตาอบ” ซึ่งถือเป็นจุดสำคัญยิ่งสำหรับการส่งออกไม้ ท่ามกลางการแข่งขันที่ทวีความเข้มข้นขึ้นในยุคโลกาภิวัตน์ เพราะไม่ใช่ประเทศไทยเพียงประเทศเดียวที่มีการส่งออกเฟอร์นิเจอร์ไม้ ยังมีคู่แข่งสำคัญอย่าง จีน และเวียดนาม ที่กำลังมาแรงมาก ทำให้อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ไม้ของไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ฉะนั้น ทางเลือกของผู้ประกอบการไทยต้องเร่งปรับตัวให้แข่งขันได้ ”

นาย จิรวัฒน์ ตั้งกิจงามวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท อุตสาหกรรมดีสวัสดิ์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ไม้สนามส่งออก กล่าวว่า “ ปัญหาของไม้ที่ใช้กันอยู่เกิดจากความชื้น และโรงงานผลิตไม้หลายแห่งที่มีปัญหาก็เพราะไม่มีเตาอบ ด้วยความไม่รู้และไม่มีความเข้าใจเรื่องดังกล่าวมาตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมไม้เพื่อการส่งออก เนื่องจากการส่งออกแต่ละประเทศยังมีการกำหนดค่าความชื้นที่ต่างกัน เตาอบจึงถือเป็นจุดสำคัญของคำว่าคุณภาพ แต่เมื่อหันมาส่งออกจึงต้องนำไม้ไปจ้างโรงอบข้างนอกซึ่งก็ไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องเทคนิคการอบที่ได้มาตรฐาน ทั้งระยะเวลา ความชื้น และเทคนิคการอบให้ไม้แห้งที่ถูกต้อง เน้นแต่ปริมาณในการอบครั้งละมากๆ เท่านั้น ทำให้ความชื้นในเนื้อไม้ยังแห้งไม่ได้ที่ กลายเป็นปัญหาหลักของอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ไม้ของไทยที่ไม่มีเตาอบเป็นของตัวเองอยู่ในขณะนี้ ”

ในส่วนของบริษัทฯนั้น ถือว่าได้เปรียบกว่ารายอื่นเพราะมีเตาอบใช้เองถึง 6 เตา แต่เนื่องจากใช้มานานกว่า 30 ปี จึงต้องการพัฒนาเตาอบให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น และที่ผ่านมายังไม่ได้มีการใช้งานเต็มที่ เนื่องจากช่างเทคนิคที่ชำนาญงานเองก็ยังเข้าไม่ถึงเทคนิคบางอย่าง ทางบริษัทฯ จึงได้เข้ารับการสนับสนุนทางด้านผู้เชี่ยวชาญจากโครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (iTAP) ภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยทางโครงการ iTAP ได้จัดส่งคณะผู้เชี่ยวชาญจากภาควิชาวนผลิตภัณฑ์ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เข้ามาเป็นที่ปรึกษา โดยได้แนะนำวิธีการพัฒนาเทคนิคในการอบไม้ที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ และมีประสิทธิภาพ สามารถลดระยะเวลาในการอบไม้ และประหยัดพลังงานได้ถึง 20%พร้อมกับช่วยลดของเสียและตำหนิที่เกิดจากการอบไม้

สำหรับประโยชน์ที่บริษัทได้รับ นอกจากช่วยลดเวลาในการอบไม้ให้เร็วขึ้นจากปกติ 15 วัน เหลือ 12 – 13 วัน ซึ่งตรงนี้ นายจิรวัฒน์ บอกว่า เวลาที่ลดลงดูเหมือนไม่มาก แต่เป็นที่พอใจสำหรับบริษัทฯ เพราะเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมกับการอบไม้ตามที่บริษัทต้องการ แม้จะสามารถลดระยะเวลาลงได้มากกว่านั้นก็ตาม และเพราะบริษัทฯ มีเตาอบถึง 6 เตา สามารถอบไม้ได้ครั้งละ 60 คิวบิกเมตร / เตา ทำให้บริษัทสามารถประหยัดเวลาในการอบไม้ได้ถึง 6 วัน/เดือน หรือ คิดเป็น 72 วัน / เตา / ปี หากรวมกันทั้งหมด 6 เตา จะทำให้บริษัทสามารถประหยัดเวลาเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลถึง 1 ปีกว่า หรือเท่ากับบริษัทได้เตาอบเพิ่มขึ้นอีก 1 เตา โดยไม่ต้องลงทุนสร้างเตาเพิ่ม ถือว่าคุ้มค่ามากๆ ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถอบไม้ได้เร็วขึ้น ในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น โดยมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 20 % และยังเป็นการประหยัดพลังงานลงได้กว่า 20% หรือ คิดเป็นค่าใช้จ่ายในการอบไม้ลดลงได้ถึงปีละ 2 แสนกว่าบาท

นายจิรวัฒน์ กล่าวเสริมว่า “หลังการพัฒนาประสิทธิภาพเตาอบเดิมที่มีอยู่ ทำให้บริษัทฯ สามารถใช้เตาอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณค่า เพราะทำงานได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นการพัฒนาทางด้านเทคนิค วิชาการ ข้อมูล และการทำงานที่ให้มีความทันสมัยขึ้น ลดของเสียจากการอบไม้ลดลง ทำให้มีวัตถุดิบที่นำมาใช้งานเพิ่มขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯ มีศักยภาพในการรับออร์เดอร์เพิ่มขึ้น สอดรับกับความต้องการของบริษัทที่จะขยายตลาดเพิ่มทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดที่จะต่อยอดโครงการไปสู่การพัฒนาโรงเลื่อย เชื่อว่า จะมีโอกาสร่วมมือกับทางโครงการ iTAP (สวทช.) สำหรับโครงการอื่นๆ ต่อไป”

สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจเข้ารับการสนับสนุนในโครงการ ITAP สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร0-2564-8000 หรือ www.nstda.or.th/itap

สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net