TIES เผย 9 เดือน มีรายได้ 823 ล้าน มั่นใจรายได้ทั้งปีได้ตามเป้า

13 Nov 2006

กรุงเทพฯ--13 พ.ย.--หลักทรัพย์ ธนชาต

บริษัท ไทยบริการอุตสาหกรรมและวิศวกรรม จำกัด (มหาชน) เผยผลการดำเนินงาน 9 เดือน มีรายได้รวม 823.42 ล้านบาท มั่นใจทั้งปีรายได้โต 18-20 % ตามเป้า

นายธีรพล เต็มสุข กรรมการบริหาร บริษัท ไทยบริการอุตสาหกรรมและวิศวกรรม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกปี 2549 บริษัทมีรายได้รวม 823.42 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโต 20.07% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 685.80 ล้านบาท ในขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 31.25 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนที่ 22.27 ล้านบาท เนื่องจากปีนี้มีการรับรับรู้รายได้ของงานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยงานจากลูกฐานลูกค้าเดิมคิดเป็นกว่า 30% ของงานทั้งหมด อาทิเช่น โครงการขยายอาคารของสยามมิชลิน โครงการขยายโรงงานของเบียร์ไทย (1991) และศูนย์การค้าคาร์ฟูร์ และงานจากฐานลูกค้าใหม่อย่างโรงพยาบาลรามคำแหง, โรงพยาบาลสิริโรจน์ ของภูเก็ต อินเตอร์เนชั่นแนล ฮอสปีตอล และ โชว์รูมรถยนต์โตโยต้าที่นนทบุรี ทั้งนี้สัดส่วนรายได้ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2549 มาจากงานโรงงานอุตสาหกรรม 55%, อาคารสูงและโรงพยาบาล 15% และ ศูนย์การค้า 30%

นอกจากนี้นายธีรพลยังเสริมอีกว่า มั่นใจรายได้รวมปีนี้มีความเป็นไปได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ประมาณ 1,200 ล้านบาท เนื่องจากขณะนี้มีโครงการที่ได้รับการพิจารณาตอบรับแล้วและอยู่ในระหว่างการรอเซ็นสัญญาอีก 244.8 ล้านบาทส่งผลให้ปัจจุบันมี Backlog อยู่ที่ประมาณ 1,100 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทมีมูลค่าโครงการที่ยื่นประมูลไปแล้วอยู่ระหว่างรอผลการพิจารณาอีกมีมูลค่าประมาณ 600 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะชนะประมูลไม่น้อยกว่า 20%

สำหรับปี 2550 บริษัทตั้งเป้าอัตราเติบโตของรายได้ที่ประมาณ 18-20% โดยยังคงนโยบายการรับงานที่บริษัทมีความสามารถเชี่ยวชาญทั้งประเภทโรงงานอุตสาหกรรม อาคารเชิงพาณิชย์และที่พักอาศัย โรงเรียนโรงพยาบาล ศูนย์การค้า และจะมีการขยายขอบเขตการดำเนินงานประเภทรีสอร์ท บ้านพักอาศัยหรือบ้านจัดสรร โดยทั้งนี้บริษัทยังคงนโยบายในการคัดเลือกโครงการที่มีความเสี่ยงต่ำและอัตราผลตอบแทนที่เหมาะสม

ในส่วนของค่าใช้จ่าย บริษัทพยายามควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการที่บริษัทเข้ามาระดมทุนในตลาดทำให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลง และปี 2550 เป็นปีที่บริษัทเริ่มได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี ซึ่งอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจะลดลงเหลือเพียง 20% ซึ่งน่าจะทำให้ผู้ถือหุ้นได้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่น่าพอใจ