สถาบันสอนภาษาวอลล์สตรีทเผยผลการดำเนินงานปี 2550 และโอกาสทางธุรกิจปี 2551

20 Dec 2007

กรุงเทพฯ--20 ธ.ค.--สถาบันสอนภาษาวอลล์สตรีท

สถาบันสอนภาษาวอลล์สตรีท โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษชั้นนำ เผยผลการดำเนินงานที่ผ่านมาในช่วงปี 2550 ว่ามีผลการดำเนินการที่ดี โดยมีการขยายสาขาใหม่ถึง 2 สาขา คือ สาขาสยามและสาขาปิ่นเกล้า นอกจากนี้ ยังมีแผนจะขยายสาขาในประเทศฮ่องกงและอินโดนีเซียในปี 2551 อีกด้วย ส่งผลให้สถาบันสอนภาษาวอลล์สตรีทเป็นโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษที่เติบโตอย่างรวดเร็วและประสบความสำเร็จที่สุดในโลก

สถาบันสอนภาษาวอลล์สตรีทในประเทศไทย

ปัจจุบันสถาบันภาษาวอลล์สตรีทมีสาขาทั้งหมด 5 สาขาในประเทศไทย โดย 4 สาขาแรก อันได้แก่ สีลม, สุขุมวิท, ลาดพร้าว และสยามสแควร์นั้น ตั้งอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานครและอยู่ใกล้กับเส้นทางรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดิน โดยสามารถเดินจากสถานีรถไฟฟ้าหรือรถไฟฟ้าใต้ดินเพียงไม่กี่นาที ในเดือนสิงหาคม 2550 สถาบันภาษาวอลล์สตรีทได้ขยายสาขาไปยังฝั่งธนบุรีเพื่อเปิดสาขาที่ 5 ณ เมเจอร์ ซีเนเพล็กซ์ ปิ่นเกล้า และได้รับการตอบรับจากผู้ที่อาศัยอยู่ในย่านธนบุรีเป็นอย่างดี

นับตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา จำนวนนักเรียนของวอลล์สตรีทในประเทศไทยมีทั้งสิ้นกว่า 15,000 คน โดยมีจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในแต่ละปี ในปี 2548 วอลล์สตรีทมีจำนวนนักเรียน 3,193 คน เพิ่มขึ้นป็น 4,966 คน ในปี 2549 และปัจจุบัน ในปี 2550 มีนักเรียนทั้งสิ้น 6,912 คน ทั้งนี้ คาดว่าจะมีนักเรียนถึง 10,000 คน ในปี 2551

วอลล์สตรีทได้วางกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นกลุ่มอายุระหว่าง 25 – 35 ปี หรือกลุ่มที่เพิ่งเข้าสู่การทำงาน นอกจากนี้ วอลล์สตรีทยังได้รับความสนใจจากกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยและกลุ่มนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในการสมัครเรียนเป็นจำนวนมากอีกด้วย กลุ่มผู้เรียนของแต่ละสาขาจึงมีความแตกต่างกัน กล่าวคือ กลุ่มวัยทำงานส่วนใหญ่จะเรียนที่สาขาสีลมและสุขุมวิท ในขณะที่ สาขาสยามและปิ่นเกล้าจะเป็นกลุ่มนักเรียนและนักศึกษามากกว่า ส่วนที่สาขาลาดพร้าวนั้น สัดส่วนของกลุ่มวัยทำงานกับนักเรียนนักศึกษาไม่มีความแตกต่างกันมากนัก

คุณอภิชัย ไชยวินิจ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดระดับภูมิภาค ผู้ดูแลกลยุทธ์ทางการตลาดของสถาบันสอนภาษาวอลล์สตรีทในประเทศไทย ฮ่องกงและอินโดนีเซีย แสดงความเห็นว่า การสร้างแบรนด์เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้วอลล์สตรีทแตกต่างจากคู่แข่ง

คุณอภิชัยกล่าวว่า “วอลล์สตรีททำการตลาดกับชาวกรุงเทพอย่างสม่ำเสมอผ่านโฆษณาและกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ รวมถึงคุณภาพบริการที่คงที่และกิจกรรมนอกชั้นเรียน เช่น งานฉลองเทศกาลฮัลโลวีนซึ่งจัดขึ้นที่สยาม เซ็นเตอร์, งานพรอม ที่โรงแรมสยามอินเตอร์คอนติเนนทัล, กิจกรรม Movie Night Out ที่พานักเรียนกว่า 1,000 คนไปชมภาพยนตร์ที่โรงภาพยนตร์สยามภาวลัย หรือการออกค่ายที่จังหวัดกาญจนบุรี กิจกรรมเหล่านี้ตอกย้ำให้เห็นว่าวอลล์สตรีทเป็นมากกว่าโรงเรียนสอนภาษา แต่เป็นเสมือนศูนย์รวมของไลฟ์สไตล์ที่นักเรียนสามารถเข้ามาพูดคุยภาษาอังกฤษ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและพบปะเพื่อนใหม่ๆ เป้าหมายของวอลล์สตรีทไม่ใช่เพียงแค่ให้นักเรียนของเราพูดภาษาอังกฤษอย่างมั่นใจเท่านั้น แต่จะต้อง “รัก” ที่จะพูดภาษาอังกฤษอย่างมั่นใจด้วย”

“กิจกรรมและสิ่งที่นักเรียนได้รับเหล่านี้มีส่วนช่วยเป็นอย่างมากในการที่ผู้ซึ่งสนใจจะเข้ามาเป็นนักเรียนของวอลล์สตรีทในอนาคตสามารถรับรู้ข่าวสารกิจกรรมจากนักเรียนที่เรียนอยู่ในปัจจุบัน และตัดสินใจเข้ามาเรียนกับวอลล์สตรีทและสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นให้กับชีวิต การพูดแบบปากต่อปากระหว่างนักเรียนประสบความสำเร็จอย่างมาก นี่เป็นสิ่งที่คู่แข่งของเราไม่มี”

วอลล์สตรีทยังได้ทำการสำรวจด้านการรับรู้แบรนด์ของกลุ่มเป้าหมายในประเทศไทย พบว่า กลุ่มเป้าหมายมีการรับรู้แบรนด์ 40% ในปี 2549 และเพิ่มเป็น 60% ในปี 2550

สถาบันสอนภาษาวอลล์สตรีทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สถาบันภาษาวอลล์สตรีท (ประเทศไทย) ได้ขยายแฟรนไชส์ในฮ่องกง โดยมีแผนจะเพิ่มจำนวนสาขาอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ คาดว่าจะมีนักเรียนทั้งสิ้นประมาณ 10,000 คน ในปี 2551

สำหรับในประเทศอินโดนีเซีย วอลล์สตรีทมีแผนการที่จะเปิดสาขาเพิ่มอีก 2 สาขาในปีหน้า ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนนักเรียนประมาณ 10,000 คน

คุณอภิชัย กล่าวถึงการเปิดสาขาใหม่ว่า “ด้วยวิธีการสอนที่เป็นเอกลักษณ์ของวอลล์สตรีท ทำให้เราใช้งบประมาณในการเปิดสาขาใหม่ค่อนข้างสูงเนื่องจากเราตระหนักถึงความสำคัญของการเรียนการสอนและเทคโนโลยี โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 50 ล้านบาทในแต่ละสาขา และเพิ่มเงินลงทุนสำหรับเปิดสาขาใหม่ในปีหน้าเป็นเงินประมาณ 100 ล้านบาท สำหรับงบการตลาดที่ใช้ในการสร้างแบรนด์และการจัดกิจกรรมจะอยู่ที่ประมาณ 165 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นงบการตลาดที่ใช้ใน 3 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย ฮ่องกงและอินโดนีเซีย”

ธุรกิจโรงเรียนสอนภาษาในเอเชียและแนวโน้มในปี 2551

เนื่องจากภาวะการแข่งขันที่ดุเดือดของธุรกิจโรงเรียนสอนภาษาในภูมิภาคเอเชียช่วงปี 2550 ที่ผ่านมานั้น ได้มีโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ 2 แห่งในฮ่องกงและญี่ปุ่นประสบภาวะล้มละลาย เป็นผลมาจากการที่รัฐบาลหยุดให้เงินสนับสนุนและการบริหารงานที่ผิดพลาด ทำให้นักเรียนกว่าพันคนไม่มีที่เรียนและเด็กจำนวนมากไม่กล้าสมัครเรียนในโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษอื่นๆ วอลล์สตรีทได้เปิดให้นักเรียนจากโรงเรียนสอนภาษาที่ล้มละลายดังกล่าวเข้าเรียน โดยเสนอค่าแรกเข้าในราคาที่ต่ำกว่าปกติ

สำหรับสถานการณ์ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศไทยซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสถาบันภาษาวอลล์สตรีทในปีหน้านั้น คุณอภิชัยให้ความเห็นว่า “ธุรกิจสามประเภทที่จะอยู่รอดในสถานการณ์แบบนี้ ได้แก่ ธุรกิจ 3E เนื่องจาก คนเราไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจาก Energy (พลังงาน), Entertainment (บันเทิง) และ Education (การศึกษา) เพราะเมื่อใดที่เรารู้สึกว่าเศรษฐกิจหรือการเมืองอยู่ในภาวะวิกฤต เราจะเลือกลงทุนเพื่อพัฒนาให้ตัวเองได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้น และนั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมวอลล์สตรีทถึงได้เป็นที่สนใจของกลุ่มคนเริ่มทำงานและเด็กนักเรียนมหาวิทยาลัย”