ศูนย์วิจัยธุรกิจค้าปลีกชี้มูลค่าความเสียหายจากการโจรกรรมสินค้าในร้านค้าปลีกทั่วโลกพุ่งแตะ 1.04 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

ฮ่องกง--12 พ.ย.--ซินหัว-พีอาร์นิวสไวร์-เอเชียเน็ท


มูลค่าความเสียหายจากการโจรกรรมในร้านค้าปลีกมีสัดส่วนเทียบเท่ากับอัตราการชำระ "ภาษี" รายปีของพลเมืองดีที่คิดเป็นเงินเกือบ 230 ดอลลาร์สหรัฐต่อครัวเรือน

การศึกษาระดับการโจรกรรมในร้านค้าปลีกทั่วโลกประจำปีครั้งที่สองระบุว่า มูลค่าความเสียหายจากการโจรกรรมสินค้าในร้านค้าปลีกทั่วโลกมีจำนวนสูงถึง 1.045 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ทั้งเจ้าของธุรกิจค้าปลีกและลูกค้ามีแนวโน้มต้องรับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น ขณะที่อัตราการสูญหายของสินค้าในร้านค้าปลีกทั่วโลกซึ่งคิดเทียบกับยอดขายโดยรวมนั้นปรับตัวลดลงเล็กน้อยในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา แต่มูลค่าความเสียหายจากการโจรกรรมในร้านค้าปลีกกลับเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

(โลโก้: http://www.xprn.com/xprn/sa/200701241626.jpg )

"ความเสียหายจากการโจรกรรมสินค้ามิได้เกิดขึ้นเฉพาะกับผู้ค้าปลีกเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและสังคมเป็นวงกว้าง" รอบ ฟาน เดอร์ เมอร์เว ประธานและซีอีโอของเช็คพอยท์ ซิสเต็มส์ อิงค์ซึ่งเป็นผู้ให้การสนับสนุนการศึกษาครั้งนี้กล่าว "ปัญหาสินค้าสูญหายถือเป็นภัยร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่อเม็ดเงินในบัญชีของผู้ค้าปลีก รวมถึงเงินภาษีของประชาชนที่พวกเขาต้องเจียดเงินรายได้ภาคครัวเรือนส่วนหนึ่งมาให้กับประเทศท่ามกลางภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจ"

การศึกษาระดับการโจรกรรมในธุรกิจค้าปลีกทั่วโลก (The Global Retail Theft Barometer หรือ GRTB) เป็นผลสำรวจประจำปีที่จัดทำโดยศูนย์วิจัยธุรกิจค้าปลีกในเมืองนอตติ้งแฮม สหราชอาณาจักร ภายใต้การสนับสนุนของบริษัท เช็คพอยท์ ซิสเต็มส์ โดยผลการสำรวจในปีนี้สามารถกล่าวได้ว่าเป็นการวิเคราะห์อัตราการสูญหายสินค้าระดับโลกที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เคยทำมาซึ่งได้เปิดเผยถึงข้อเท็จจริงที่สำคัญเกี่ยวกับปัญหาสินค้าสูญหายและการโจรกรรมสินค้าใน 36 ประเทศทั่วโลกจาก 5 ทวีป ซึ่งอ้างอิงข้อมูลจากการสำรวจร้านค้าปลีกขนาดใหญ่อย่างลับๆจำนวน 920 ร้านโดยมียอดขายรวมกันทั้งสิ้น 8.14 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และร้านค้าย่อยอีก 115,612 แห่ง ตัวเลขทั้งหมดในรายงานดังกล่าวมาจากการสำรวจภายในระยะเวลา 12 เดือนที่สิ้นสุด ณ เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2551

ความเสียหายจากการโจรกรรมในร้านค้าปลีกทั่วโลก

มูลค่าความเสียหายจากปัญหาสินค้าสูญหายในร้านค้าปลีกทั่วโลก (เปรียบเทียบสัดส่วนของสินค้าในสต็อกที่สูญหายจากการโจรกรรมหรือใช้งานไม่ได้กับยอดขาย) นั้นอยู่ที่ระดับ 1.045 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่ผ่านมา ซึ่งมีสัดส่วนเทียบเท่ากับ 1.34% ของยอดขายในร้านค้าปลีก โดยมูลค่าของสินค้าที่สูญหายในอเมริกาเหนือมียอดรวมอยู่ที่ 4.2338 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือมีสัดส่วนเท่ากับ 1.48% ของยอดขาย โดยในจำนวนนี้มีสหรัฐที่รายงานตัวเลขสูงสุด

ข้อมูลจากทั่วโลกสะท้อนให้เห็นถึงมูลค่าของสินค้าสูญหายที่ปรับตัวลดลง 1.56 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (-1.5%) เมื่อเทียบกับปีพ.ศ. 2550 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามที่เพิ่มขึ้นและอัตราการสูญหายของสินค้าที่ลดลงเล็กน้อย ขณะที่ความเสียหายโดยรวมของการโจรกรรมในร้านค้าปลีกเพิ่มขึ้น 4.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐนับตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ความเสียหายจากการโจรกรรมในร้านค้าปลีกนั้นคำนวณจากการขโมยสินค้าของลูกค้า พนักงาน และซัพพลายเออร์/ผู้ค้า (ไม่รวมถึงความผิดพลาดภายในร้าน) รวมกับค่าใช้จ่ายในการป้องกันการสูญหายของสินค้าซึ่งมีมูลค่าอยู่ที่ 1.1278 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปีพ.ศ.2551 เมื่อเทียบกับระดับ 1.081 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่ผ่านมา

"ข้อมูลข้างต้นนี้สามารถสรุปได้ว่าความเสียหายจากการโจรกรรมในร้านค้าปลีกมีสัดส่วนเทียบเท่ากับอัตราการชำระภาษีของพลเมืองดีที่ 229.73 ดอลลาร์ต่อครัวเรือน หรือ 71.12 ดอลลาร์ต่อคนใน 36 ประเทศที่ทำการสำรวจ" ศาสตราจารย์แบมฟิลด์ ผู้อำนวยการประจำศูนย์การวิจัยธุรกิจค้าปลีกกล่าว

ใครรับผิดชอบ?

พนักงานในร้านเป็นสาเหตุสำคัญอันดับหนึ่งที่ทำให้สินค้าในร้านค้าปลีกในภูมิภาคอเมริกาเหนือและลาตินอเมริกาสูญหาย (46.3% และ 42.0% ตามลำดับ) ขณะที่ในเอเชียแปซิฟิกและยุโรปนั้น สินค้าที่สูญหายส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากลูกค้าที่เข้ามาลักขโมยสินค้าในร้าน (53.8% และ 46.8% ตามลำดับ)

ขณะที่ผลการศึกษารวมทุกภูมิภาคระบุว่า ลูกค้าที่ประพฤติตัวเป็นหัวขโมย ทั้งพวกรายเล็กและรายใหญ่ซึ่งทำเป็นขบวนการ ยังคงเป็นต้นเหตุใหญ่สุดของการขโมยสินค้าภายในร้าน ซึ่งคิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 4.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (41.2% ของสินค้าที่สูญหายทั้งหมด) ขณะที่ การขโมยสินค้าโดยพนักงานในร้าน คิดเป็น 36.5% (3.81 หมื่นล้านดอลลาร์) และ อีก 5.8% (6.09 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ของมูลค่าความสูญเสียเป็นผลจากการโจรกรรมสินค้าจากพวกซัพพลายเออร์และการยักยอกในระบบซัพพลายเชน ส่วนความผิดพลาดภายในองค์กรและความผิดพลาดด้านงานธุรการ (เช่น การกำหนดราคา หรือความผิดพลาดด้านบัญชี) อยู่ที่ 16.5% (1.72 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ)

จำนวนของลูกค้าที่ประพฤติตัวเป็นหัวขโมยกำลังเพิ่มมากขึ้นในภูมิภาคอเมริกาเหนือและเอเชียแปซิฟิก โดยเพิ่มขึ้นในสัดส่วน 3.1% และ 2.3% ตามลำดับ ขณะที่ ในยุโรป การขโมยสินค้าโดยพนักงานเพิ่มขึ้นจาก 28.6% เป็น 30.5%

บรรดาผู้ค้าปลีกรายงานว่า การขโมยสินค้าคิดเป็น 38.4% (หรือ 1.46 หมื่นล้านดอลลาร์) ของการทุจริตฉ้อโกงทั้งหมดภายในองค์กร ขณะที่เกือบ 1 ใน 4 (23.8%) ของมูลค่าความเสียหายภายในองค์กร เป็นการขโมยในรูปแบบอื่นๆ ได้แก่ การขโมยเงินสด คูปอง บัตรกำนัล หรือบัตรของขวัญ (มากกว่า 9 พันล้านดอลลาร์)

ระบบและกรรมวิธีป้องกันการสูญหายในปัจจุบันช่วยให้ร้านค้าปลีกจับกุมลูกค้าและพนักงานที่เป็นหัวขโมยได้เกือบ 5.3 ล้านรายในช่วงปีพ.ศ. 2550-2551 ซึ่งในจำนวนนี้ส่วนมากเป็นลูกค้า (84.6%) มูลค่าความเสียหายโดยเฉลี่ยต่อครั้งจากลูกค้าที่เป็นหัวขโมยอยู่ที่ 328 ดอลลาร์ ส่วนมูลค่าความเสียหายโดยเฉลี่ยต่อครั้งจากพนักงานที่เป็นหัวขโมยมากกว่าถึง 5.6 เท่า อยู่ที่ 1,842 ดอลลาร์ สำหรับมูลค่าความเสียหายจากการโจรกรรมรวมทั้งสิ้นอยู่ที่ 3 พันล้านดอลลาร์

“บทบาทหลักของระบบ Shrink Management Systems ก็คือการสร้างอุปสรรคกีดขวางพวกหัวขโมย ด้วยการทำให้การวิเคราะห์ความเสี่ยงหรือผลตอบแทนมีความน่าดึงดูดใจน้อยลงสำหรับผู้ที่อาจเป็นขโมย” เพอร์ เลอวิน ประธานฝ่าย Shrink Management Solutions บริษัท เช็คพอยท์ ซิสเต็มส์ กล่าว “ผู้คนเคยชินกับวิถีชีวิตบางอย่าง และจะทำซ้ำๆ แม้ว่าพวกเขาจะต้องเสียงานไปหรือได้ค่าตอบแทนน้อยลงอันเนื่องมาจากเศรษฐกิจตกต่ำ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ระบบและกระบวนการจะต้องได้รับการปรับปรุงขึ้น”

ร้านค้าปลีกในยุโรปและอเมริกาเหนือสามารถจับกุมตัวพวกที่ก่อคดีโจรกรรมสินค้าในร้านมากที่สุด (2.8 ล้าน และ 2.1 ล้านราย ตามลำดับ) โดยรายงานระบุว่า ภูมิภาคอเมริกาเหนือจับกุมพนักงานที่เป็นผู้ลักขโมยสินค้าได้มากที่สุดที่ 32.3%

การโกงสินค้าที่ลูกค้านำมาแลกเงินคืนและสินค้าลดราคาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งรวมถึง 19.37% ของการทุจริตภายในองค์กร (7.5 พันล้านดอลลาร์) หรือเพิ่มขึ้นถึง 34% นับตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ขณะที่การสมรู้ร่วมคิดกันยักยอกสินค้าคิดเป็น 10.3% ของมูลค่าความเสียหาย (3.9 พันล้านดอลลาร์) การทุจริตทางการบัญชีก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยคิดเป็น 7.8% ของมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการทุจริตภายในองค์กร (2.97 พันล้านดอลลาร์)

นอกจากนี้ ภูมิภาคอเมริกาเหนือยังได้รายงานมูลค่าความเสียหายเฉลี่ยสูงสุดอันเนื่องมาจากพฤติกรรมการขโมยของลูกค้า โดยคิดเป็นมูลค่าเฉลี่ย 747 ดอลลาร์ต่อการขโมยในแต่ละครั้ง มูลค่าเฉลี่ยที่สูงในอเมริกาเหนือสะท้อนเป็นผลมาจากอาชญากรรมค้าปลีกที่มีการทำเป็นขบวนการ เมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าความเสียหายจากการขโมยสินค้าต่อครั้งในภูมิภาคอื่นๆ ซึ่งน้อยกว่านี้มาก ตัวอย่างเช่น ในยุโรปมีมูลค่าความเสียหายเฉลี่ยอยู่ที่ 108 ดอลลาร์ และในแอฟริกาเพียง 35 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ในยุโรป มูลค่าความเสียหายเฉลี่ยที่เกิดจากการยักยอกสินค้าโดยพนักงานในร้านต่อครั้งอยู่ที่ 3,145 ดอลลาร์ (สูงกว่าในอเมริกาเหนือซึ่งอยู่ที่ 1,391 ดอลลาร์) ขณะที่ส่วนในเอเชียแปซิฟิก มูลค่าความเสียหายเฉลี่ยจากการขโมยสินค้าโดยพนักงานอยู่ที่ 395 ดอลลาร์ต่อครั้ง

คุณฟาน เดอร์ เมอร์เว กล่าวว่า “ภายใต้สถานการณ์ที่ผันผวนในปัจจุบัน เราเชื่อว่า อุตสาหกรรมค้าปลีกจะสามารถเรียนรู้ได้บ้างจากข้อมูลที่ได้มีการเปิดเผยในผลการศึกษา GRTB ปีนี้ เราคาดว่า ยอดการขโมยสินค้าปลีกที่สูงขึ้นที่ได้มีการเปิดเผยในผลการศึกษาดังกล่าวจะส่งผลโดยตรงที่ทำให้เศรษฐกิจของเราอยู่ในช่วงขาลง”

สินค้าที่ถูกโจรกรรมมากที่สุด

“ข้อมูลที่น่าสนใจอีกประเด็นที่ได้มีการเปิดเผยในผลการสำรวจคือ กลุ่มผู้ค้าปลีกทั่วไปจะไม่คุ้มครองสินค้าที่ติดอันดับ 1 – 50 รายการที่ถูกขโมยมากที่สุด โดยคิดเป็นสัดส่วนถึงเกือบ 1 ใน 3 (30.3%)” ฟาน เดอ เมอร์เว กล่าว “สถิติดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการแก้ปัญหาในทันที โดยในขณะที่ภาวะเศรฐกิจถดถอยเป็นปัจจัยผลักดันให้เกิดการโจรกรรมสินค้ามากขึ้น เราก็ได้จับมือเป็นพันธมิตรกับกลุ่มผู้ค้าปลีก เพื่อช่วยแก้ปัญหาที่มีความท้าทายมากที่สุด กลุ่มผู้ค้าปลีกส่วนใหญ่เล็งเห็นถึงความจำเป็นในการปรับปรุงโครงการบริหารจัดการสินค้าสูญหาย และถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่จะพัฒนาวิธีการขึ้นมาอย่างมีเป้าหมายเพื่อคุ้มครองสินค้าที่ถูกโจรกรรมมากที่สุดไม่ให้ประสบภาวะขาดทุนในปีหน้า”

ผลการศึกษาในทุกภูมิภาคระบุว่า เหล่าหัวขโมยเองก็ยึดติดกับประเภทของสินค้าด้วยเช่นกัน โดยสินค้าที่ล่อตาล่อใจหัวขโมยมากที่สุดได้แก่ ใบมีดโกน ผลิตภัณฑ์โกนหนวด เครื่องสำอาง ครีมทาหน้า น้ำหอม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื้อสด ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีราคาแพง นมสำหรับเด็กทารก ซีดีและดีวีดี สินค้าแฟชั่น เกมอิเล็คทรอนิค โทรศัพท์มือถือ และนาฬิกา

กลุ่มผู้ค้าปลีกได้ประเมินว่า โดยเฉลี่ยแล้ว ขโมยจะขโมยสินค้าชนิดใหม่ไปในสัดส่วน 2-5% สินค้าที่ได้รับความนิยม เช่น หนังสือแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ เกมอิเล็คทรอนิค และดีวีดีใหม่ๆนั้น หายสูงถึง 8% ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนสินค้า

การป้องกันการสูญหายและผลกระทบของเทคโนโลยี EAS

ค่าใช้จ่ายในการป้องกันการสูญหายทั่วโลกอยู่ที่ 2.54 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 0.33% ของยอดขายปลีก นับเป็นตัวเลขที่ลดลงจากระดับปีที่แล้ว 0.35%

เทคโนโลยีการติดตามการโจรกรรมสินค้าแบบอิเล็คทรอนิค (EAS) เป็นวิธีการที่สำคัญในการคุ้มครองสินค้าที่ถูกขโมยสูง (ซึ่งมีการใช้งานสำหรับสินค้าต่างๆ 38.3%) ส่วนวิธีการอื่นๆในการป้องกัน ได้แก่ การจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัย การจัดแสดงสินค้าบนชั้นวางที่สามารถล็อคไว้ได้ การติดตั้งสัญญาณเตือนภัย การใช้กล่องสินค้าจำลอง หรือระบบการออกตั๋ว (4.1%)

กลุ่มผู้ค้าปลีกในอเมริกาเหนือและลาตินอเมริกา มีต้นทุนในการป้องกันการสูญหายของสินค้าสูงขึ้นพอๆกับเปอร์ซ็นต์การขาย (0.43%) เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มผู้ค้าปลีกในภูมิภาคอื่นๆ และมีแนวโน้มว่าจะใช้เทคโนโลยี EAS มากขึ้น
ในอเมริกาเหนือและลาตินอเมริกา มีการใช้เทคโนโลยี EAS กับสินค้าที่เสี่ยงจะถูกขโมยสูงในสัดส่วน 43.5% เมื่อเปรียบเทียบกับในยุโรปที่ 36% และเอเชียแปซิฟิก/แอฟริกาที่ 31.3% อัตราการใช้แถบป้าย EAS กับสินค้าที่ถูกขโมยสูงในอเมริกาเหนือและลาตินอเมริกาอยู่ที่ 13.7% เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวในยุโรปที่ 7.9% เอเชียแปซิฟิก/แอฟริกาที่ 3.6%
“เราหวังว่า กลุ่มผู้ค้าปลีกทั่วโลกจะใช้ข้อมูลจาก GRTB ในปีนี้ เป็นเครื่องมือทำความเข้าใจเรื่องแนวโน้มสินค้าสูญหายได้ดีขึ้น” ฟาน เดอ เมอร์เว กล่าว “ในช่วงที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจอ่อนแอนั้น ยอดสินค้าสูญหายมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้น ดังนั้นจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่กลุ่มผู้ค้าปลีกจะยังคงระมัดระวัง เป้าหมายของเราก็คือการให้การสนับสนุนการจัดทำรายงาน เพื่อที่จะช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีก และผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องกันสินค้าสูญหายได้สรรหาวิธีการรับมือที่ทันสมัยใหม่ๆมาเพื่อรับมือกับการขโมยสินค้าท่ามกลางสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน

ผลการสำรวจ

บริษัททั้งหมด 212 แห่งในอเมริกาเหนือ (ซึ่งมียอดขายรวม 3.28 แสนล้านดอลลาร์) บริษัท 502 แห่งในยุโรป (ยอดขาย 4.16 แสนล้านดอลลาร์) บริษัท 131 แห่งจากเอเชียแปซิฟิก (5.2 หมื่นล้านดอลลาร์) บริษัท 57 แห่งจากลาตินอเมริกา ( 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์) และบริษัทในแอฟริกา 18 แห่ง (3.3 พันล้านดอลลาร์) ที่ร่วมตอบแบบสอบถามที่ถูกส่งไปยังธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ 3,900 แห่งนั้น ครอบคลุมธุรกิจค้าปลีกประเภทใหญ่ๆทั้งหมดใน 36 ประเทศที่ได้มีการสำรวจ อัตราการตอบแบบสำรวจอยู่ที่ 23.6% โดยในปีนี้ การสำรวจได้ขยายขอบเขตและรวมข้อมูลจากอาร์เจนติน่า บราซิล เม็กซิโก แอฟริกาใต้ และมาเลเซีย

ศูนย์วิจัยด้านธุรกิจค้าปลีก

ศาสตราจารย์โจชัว แบมฟิล์ด ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยด้านธุรกิจค้าปลีก (www.retailresearch.org) เป็นผู้อำนวยการจัดทำผลการศึกษาระดับการโจรกรรมในธุรกิจค้าปลีกทั่วโลกครั้งที่สองนี้ โดยได้รับความร่วมมือจากบริษัท เช็คพอยท์ ซิสเต็มส์ อิงค์ โดยศูนย์วิจัยดังกล่าวเป็นองค์กรอิสระที่ดำเนินการวิจัยและเป็นที่ปรึกษาแก่ภาคธุรกิจค้าปลีกที่ต้องรับมือกับบทบาทที่ปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาของธุรกิจค้าปลีกและมุ่งเน้นที่การโจรกรรมและยักยอกสินค้า โดยขยายผลการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันการโจรกรรม การใช้ประโยชน์จากระบบอิเล็กทรอนิกส์และระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อป้องกันการโจรกรรมและการยักยอกสินค้าในร้านค้าปลีกทั่วโลก

เกี่ยวกับเช็คพอยท์ ซิสเต็มส์ อิงค์

เช็คพอยท์ ซิสเต็มส์ อิงค์ เป็นผู้นำด้านการจัดหาโซลูชั่นระบบป้องกันสินค้าสูญหายสำหรับอุตสาหกรรมค้าปลีก ทีมงานระดับโลกของเช็คพอยท์จะไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกและซัพพลายเออร์ของผู้ค้าปลีกลดอัตราการสูญหายของสินค้า แต่ยังจะเพิ่มประสิทธิภาพระบบการจัดการคลังสินค้า และช่วยสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าต่อสินค้าที่มีวางจำหน่ายโดยไม่ขาดสต็อกผ่านการใช้เทคโนโลยี RF ที่เพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดเก็บสินค้าความเร็วสูงขยายผลถึงการป้องกันสินค้าสูญหาย และโซลูชั่นด้านการติดแถบป้องกันการขโมยด้วยระบบการจัดการ Check-Net ทั้งนี้ บริษัทจดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก (NYSE: CKP) และดำเนินงานในตลาดทั่วทุกทวีป และมีพนักงาน 3,900 คนทั่วโลก หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ http://www.checkpointsystems.com

หมายเหตุถึงบรรณาธิการ

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม, รายงานผลการศึกษาในรูปแบบไฟล์ PDF, ภาพการโจรกรรมเพื่อเผยแพร่ทางโทรทัศน์ รูปภาพ และบทสัมภาษณ์ กรุณาติดต่อแผนกประชาสัมพันธ์ของเช็คพอยท์

ติดต่อ:

บริษัทเช็คพอยท์ ซิสเต็มส์ อิงค์

นาตาลี ชาน

โทร: +852-2995-8350

อีเมล์: [email protected]

แหล่งข่าว เช็คพอยท์ ซิสเต็มส์ อิงค์

--เผยแพร่โดย เอเชียเน็ท ( www.asianetnews.net ) --


ข่าวธุรกิจค้าปลีก+เช็คพอยท์วันนี้

แร็กแท็ก (RAGTAG) ช็อปสินค้าแฟชั่นลักชัวรี่มือสองจากญี่ปุ่น เปิดตัวสาขาแรกในไทยอย่างเป็นทางการที่ One Bangkok

แร็กแท็ก (RAGTAG) เป็นช็อปสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนมและลักชัวรี่มือสอง ที่มุ่งเน้นอยากให้ทุกคนสามารถเข้าถึงสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนม ซึ่งเปิดดำเนินการจนประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง โดยเปิดสาขาแรกปี 2528 ในย่านฮาราจูกุ โตเกียว ปัจจุบันมีการขยายช็อปต่างๆออกไปถึง 24 แห่งทั่วประเทศญี่ปุ่น ภายใต้การบริหารงานของบริษัท ทินแพนแอลลี่ (Tin Pan Alley CO. LTD) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของเวิลด์กรุ๊ป ผู้นำในธุรกิจค้าปลีกเสื้อผ้าแฟชั่นของญี่ปุ่น สหกรุ๊ป นำโดย บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)ได้ร่วมทุนกับ

คิง เพาเวอร์ ผู้นำธุรกิจค้าปลีกเพื่อการท่... รวมดีลเด็ด คิง เพาเวอร์ กับ มหกรรมเซลกลางปีสุดยิ่งใหญ่ — คิง เพาเวอร์ ผู้นำธุรกิจค้าปลีกเพื่อการท่องเที่ยว เอาใจสายช้อปพร้อมเสิร์ฟดีลเด็ดให้ทั้งคนไทยและนั...

ซ่อมแซมบ้าน และเครื่องใช้ไฟฟ้า กระตุ้นกำล... ไทวัสดุ "บิ๊กเซล บิ๊กโบนัส แจกจุใจกว่า 5 ล้านบาท" รันวงการ! สินค้าตกแต่ง — ซ่อมแซมบ้าน และเครื่องใช้ไฟฟ้า กระตุ้นกำลังซื้อครึ่งปีหลัง คืนกำไรลูกค้า แจกราง...

"ประตูสู่ความร่วมมือ เพื่อการยกระดับและโซ... สมาร์ท รีเทล เอ็กซ์โป 2026 (Smart Retail Expo 2026) วันที่ 28-29-30 มกราคม 2569 ณ ไบเทคบางนา ฮอลล์ 100 — "ประตูสู่ความร่วมมือ เพื่อการยกระดับและโซลูชั่นที...

บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ผู้... โกลบอลเฮ้าส์ มอบรางวัลใหญ่! หนุนรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านแคมเปญ "TAX RECEIPT E-TAX คุณ ลุ้นล้าน" — บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำธุรกิจค้าปลีกว...