เมื่อทรัพยากร “ไม้” เริ่มหายากขึ้น ประกอบกับการแข่งขันทางธุรกิจภายใต้ปัจจัยลบหลายด้าน “การปรับตัว” จึงเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องพึงตระหนักเพื่อความอยู่รอด นอกจากการพัฒนาเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์แล้ว กระแสกรีนโปรดักส์ หรือ Eco Design ยังเป็นแนวทางการปรับตัวของธุรกิจที่กำลังมาแรงในตลาดโลก เพราะธุรกิจที่ใส่ใจเรื่องดังกล่าวจะได้รับการยอมรับจากตลาดมากขึ้น เช่นเดียวกับสถานการณ์ตลาดไม้ปูพื้นลามินเนต (ไม้ปูพื้นสำเร็จรูป)ที่ต้องปรับตัวรับกระแสเช่นกัน
นายสมานชัย อธิพันธุ์อำไพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ CEO บจก. ลีโอวูด อินเตอร์เทรด กล่าวว่า บริษัทฯ เป็นบริษัทในเครือแพนสยามฟาร์อิสต์ ผู้ผลิต นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าไม้ปูพื้นลามินเนต บันได และประตูมานานกว่า 30 ปี เริ่มธุรกิจจากระบบครอบครัวนำเข้าไม้เพื่องานก่อสร้าง ต่อมาได้ลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์จากไม้ยางพาราส่งออก จนเมื่อปลายปี 2540 เกิดวิกฤตเศรษฐกิจฟองสบู่ทำให้การส่งออกเฟอร์นิเจอร์ไม้ของไทยเริ่มประสบปัญหา
บริษัทเองก็ไม่สามารถส่งออกได้เช่นกัน แต่โชคดีได้ออเดอร์ผลิตประตูจากสหรัฐฯเข้ามาแทน ถือเป็นจุดเปลี่ยนของบริษัทจากผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์มาเป็นผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างและตกแต่งนับแต่นั้น และหันมาทำตลาดในประเทศคิดเป็นสัดส่วน 80% เน้นขายตรงเจาะกลุ่มตลาดอสังหาริมทรัพย์ ( property ) และกลุ่มสถาปนิก ด้วยการบริหารงานแบบครบวงจรตั้งแต่การแปรรูปไม้ ผลิตและจัดจำหน่าย ไปจนถึงงานติดตั้งและให้บริการหลังการขาย จึงเป็นจุดแข็งของบริษัทที่สร้างความประทับใจและความเชื่อมั่นแก่ลูกค้ามาจนถึงปัจจุบัน แม้จะไม่ใช่ผู้ค้ารายใหญ่แต่ถือเป็นผู้นำในวงการวัสดุตกแต่งไม้ที่สมบูรณ์แบบของไทย
“ จุดเปลี่ยนดังกล่าวทำให้เราได้เรียนรู้ Know how และนำเทคโนโลยีด้านการผลิตเฟอร์นิเจอร์มาทำงานจึงเป็นโรงงานผลิตระบบอุตสาหกรรมที่ได้มาตรฐานรายแรกของไทยเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว และยังเป็นหแห่งแรกที่นำวิศวกรรมการผลิตมาใช้ หรือที่เรียกว่า Engineered Door เข้ามาสู่ตลาดในประเทศ จนได้รับความนิยมอย่างมากจากตลาดภายใต้แบรนด์ LEO ” นายสมานชัย กล่าว
ล่าสุด บริษัทฯ เตรียมก้าวสู่ความเป็นผู้นำด้านวัสดุตกแต่งไม้ที่ผ่านการอบด้วยระบบ Heat Treatment ซึ่งเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงจากประเทศฟินแลนด์ ช่วยให้ไม้มีอายุการใช้งานยาวนานถึง 25 ปี ถือเป็นการอบไม้ด้วยความร้อนที่มีคุณภาพได้มาตรฐานส่งออก นอกจากลดต้นทุนการผลิตแล้ว ยังไม่เป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม และไม่เป็นพิษต่อสุขภาพ เจาะตลาดกลุ่มสถาปนิก(Architect) และกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Property) สำหรับงาน Outdoor Living รวมถึงกลุ่มผู้ประกอบการเฟอร์นิเจอร์ทั่วประเทศ
นายสมานชัย อธิบายว่า เนื่องจากการผลิตงาน Outdoor นิยมใช้ไม้เนื้อแข็งหรือไม้ป่าอย่างไม้สักเพราะมีความแข็งแรงแต่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ส่วนการใช้ไม้ปลูก เช่น ไม้ยางพารา ต้องผ่านการอบด้วยสารเคมีเพื่อให้ทนต่อการใช้งานแต่ไม่สอดรับกับยุคสมัยที่กำลังจะเปลี่ยนไป
“ ก่อนหน้านี้บริษัทได้นำไม้ยางพาราที่ผ่านการ Heat Treatment จากประเทศมาเลเซียเข้ามาทดสอบตลาด ซึ่งได้รับการผลตอบรับค่อนข้างดี และไม้ยางพาราถือแป็นต้นทุนที่มีอยู่แล้วในประเทศ จึงคิดว่าน่าจะทำเองในประเทศ จึงตัดสินใจใช้งบกว่า 20 ล้านบาทนำเข้าเตาอบ Heat Treatment จากประเทศฟินแลนด์ มาผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ให้กับไม้ยางพาราที่เรียกว่า “ Tekwood ” ซึ่งมีคุณสมบัติทนทาน สีเข้มเทียบเท่ากับไม้สัก แต่มีราคาถูกกว่า 50% ซึ่งผลิตภัณฑ์ใหม่นี้จะรองรับกระแสกรีนโปรดักส์ หรือผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม”
นายสมาชัย กล่าวว่า การเข้าร่วมโครงการพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมที่โครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย(iTAP) สวทช. ร่วมกับสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องเรือนไทยจัดขึ้นนั้น เป็นการมองไปข้างหน้าเพื่อต้องการตอกย้ำถึงศักยภาพความเป็นผู้นำในกลุ่มวัสดุตกแต่งอย่างแท้จริง เพราะกระแสกรีนโปรดักส์ และ Eco Design กำลังมาแรงในตลาดต่างประเทศ เชื่อว่าตลาดในประเทศจะให้ความสนใจมากขึ้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งขณะนี้เริ่มมีกลุ่มลูกค้าอสังหาฯ หันมาตอบรับกระแสแล้ว
โดย iTAP ได้จัดส่งผู้เชี่ยวชาญ คือ นายภัทรพล จันทร์คำ อาจารย์จากภาควิชา Industrial Design คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เข้ามาให้คำปรึกษาแนะนำการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจาก Tekwood และแนะนำวิธีคัดเลือกใช้เศษวัสดุเหลือใช้เพื่อการผลิตสินค้า
ผลที่ได้รับทำให้บริษัทฯ สามารถผลิตต้นแบบผลิตภัณฑ์ Tekwood ภายใต้คอนเซ็ปท์ The Green Outdoor Living Future ได้สำเร็จ สามารถใช้งานภายนอกอาคารได้จริง โดยดีไซน์เป็นชุดเฟอร์นิเจอร์ outdoor ประกอบด้วยเก้าอี้และอ่างน้ำสามารถเลี้ยงปลาได้ โดยไม่เป็นอันตรายต่อปลา หรือ มีน้ำขังเป็นปีๆได้โดยไม่เสียรูปทรง หรือผุ แตกต่างจากไม้อื่นๆที่ไม่ใช่ไม้ Tekwood ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ของวงการวัสดุตกแต่งไม้ ซึ่งผลงานดังกล่าวยังได้นำมาออกแสดงในงาน TIFF 2010 เมื่อเดือนมีนาคม 2553 ที่ผ่านมา
CEO LEO WOOD เชื่อว่า ผลิตภัณฑ์ไม้ Tekwood จะตอบโจทย์ให้กับงานออกแบบของกลุ่มสถาปนิกและกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้เป็นอย่างดี คาดว่าจะออกสู่ตลาดอย่างช้าภายในครึ่งหลังของปี 2553 ขณะที่กลุ่มเฟอร์นิเจอร์ไม้จะเป็นกลุ่มลูกค้าในระยะยาวต่อไป
สำหรับผลประกอบการที่ผ่านมา บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องปีละ 20% ยกเว้นในปีที่ผ่านมามีผลประกอบการ 500 ล้านบาทใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า โดยไตรมาสแรกของปีนี้ มียอดขายอยู่ที่ 140 ล้านบาท อย่างไรก็ดี บริษัทฯ ได้ตั้งเป้ายอดขายรวมทั้งปีสูงขึ้น 20% ส่วนผลิตภัณฑ์ไม้ Tekwood คาดว่าจะสร้างยอดขายได้ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 5 ล้านบาท พร้อมปรับกลยุทธ์ทางการตลาดจากการขายตรงมาเป็นการขายปลีกและเพิ่มตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศมากขึ้น โดยตั้งเป้าตัวเลขการค้าปลีกไว้ถึง 50%
“การปรับกลยุทธ์ครั้งนี้ เป็นผลจากสถานการณ์ในประเทศและเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ส่งผลต่อกำลังซื้อบ้านใหม่ ทำให้กลุ่มลูกค้าที่ต้องการตกแต่งหรือซ่อมแซมบ้านจึงเป็นที่น่าจับตามองในปีนี้ ”
ผลิตภัณฑ์ Tekwood เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ของวงการวัสดุตกแต่งไม้ที่น่าจับตามองในกระแสที่ผู้คนหันมาใส่ใจกับ Green Product และ Eco Design ซึ่งต้องถือว่า LEO WOOD เป็นเอสเอ็มอีไทยที่มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและใส่ใจกับสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง เป็นการตอกย้ำถึงความเป็น “ผู้นำ” แห่งวงการวัสดุตกแต่งไม้ได้อย่างแท้จริง
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net