ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้ใหม่ “บ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล” ที่ “A” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

กรุงเทพฯ--29 เม.ย.--ทริสเรทติ้ง

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศผลอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาทของ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A” พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “A” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความหลากหลายของธุรกิจที่มีแบรนด์สินค้าและบริการเป็นที่ยอมรับซึ่งช่วยเสริมให้บริษัทมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งทั้งในธุรกิจโรงแรมธุรกิจอาหารบริการด่วน และธุรกิจค้าปลีก รวมถึงการมีคณะผู้บริหารที่มีความสามารถ การเติบโตของธุรกิจโรงแรมและการบริหารโรงแรมในต่างประเทศ และโอกาสในการขยายธุรกิจอาหารบริการด่วนผ่านแฟรนไชส์ทั้งในและต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากปัจจัยหลากหลายที่กระทบในทางลบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งจากลักษณะของธุรกิจโรงแรมที่ขึ้นอยู่กับฤดูกาลและถูกกระทบจากปัจจัยภายนอกได้ง่าย ตลอดจนลักษณะการแข่งขันที่รุนแรงและอัตรากำไรที่ต่ำของธุรกิจอาหารบริการด่วนและธุรกิจค้าปลีก โดยความขัดแย้งทางการเมืองที่ยืดเยื้อและทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวและทำลายความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมจะเป็นแรงกดดันในการประกอบธุรกิจของบริษัทในปีนี้ โดยเฉพาะในช่วงที่บริษัทต้องเพิ่มภาระหนี้สินเพื่อลงทุนในโรงแรมใหม่ ดังนั้น การลงทุนใดใดที่เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากโครงการในปัจจุบันซึ่งอาจทำให้บริษัทต้องเพิ่มภาระหนี้สินอย่างมีนัยสำคัญจะส่งผลกระทบในทางลบต่ออันดับเครดิตของบริษัท แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” อยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาความแข็งแกร่งของกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเอาไว้ได้ ภายใต้สถานการณ์ความไม่แน่นอนในการดำเนินธุรกิจ ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะดำรงสภาพคล่องให้เพียงพอต่อการดำเนินงานและการลงทุนในโครงการปัจจุบันด้วยกระแสเงินสดบางส่วน ทั้งนี้ การเพิ่มภาระหนี้สินในสภาวะการดำเนินงานที่อ่อนตัวลงอาจส่งผลให้สถานภาพเครดิตโดยรวมของบริษัทมีความเสี่ยงมากขึ้น ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนลก่อตั้งโดย Mr. William Ellwood Heinecke ในปี 2521 เพื่อดำเนินธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย โดยตระกูล Heinecke เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วน 28% บริษัทประสบความสำเร็จในการขยายกิจการโรงแรมอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันถือได้ว่าเป็นผู้ประกอบการที่มีโรงแรมกระจายตัวมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทยจำนวนทั้งหมด 30 แห่ง ด้วยห้องพักรวมกว่า 3,500 ห้อง และตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ และสถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำทั้งในประเทศไทย อินโดนีเซีย มัลดีฟส์ ศรีลังกา แทนซาเนีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเวียดนาม โรงแรมเหล่านี้บริหารและดำเนินงานภายใต้เครือโรงแรมที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก เช่น Mariott และ Four Seasons และภายใต้เครือโรงแรมของบริษัทเองคือ Anantara Elewana และ Naladhu ธุรกิจอาหารบริการด่วนของกลุ่มไมเนอร์ดำเนินการภายใต้การบริหารงานของบริษัทในเครือคือ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (MFG) ซึ่งก่อตั้งในปี 2523 และเป็นผู้ให้บริการธุรกิจอาหารบริการด่วนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย MFG เป็นเจ้าของและผู้ประกอบการอาหารบริการด่วนแบบแฟรนไชส์ของต่างประเทศมากถึง 4 แบรนด์ ได้แก่ สเวนเซ่นส์ซิซซ์เล่อร์ แดรี่ ควีน และเบอร์เกอร์ คิง รวมทั้งเดอะ พิซซ่า คอมปะนี เดอะค็อฟฟีคลับ และไทยเอ็กเพรส ซึ่งเป็นแบรนด์สินค้าของบริษัทเอง โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2552 MFG มีร้านอาหารเปิดให้บริการรวม 682 แห่ง ตลอดจนร้านแฟรนไชส์และแฟรนไชส์ย่อยอีกประมาณ 430 แห่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในช่วงกลางปี 2552 บริษัทได้ปรับโครงสร้างธุรกิจและรวมกิจการของ บริษัท ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (MINOR) ซึ่งประกอบด้วย แฟชั่น เครื่องสำอาง และโรงงานรับจ้างผลิตเข้ามาอยู่ภายใต้เครือของบริษัทโดยมีแบรนด์สินค้าที่สำคัญ อาทิ Gap, Esprit, Bossini, Red Earth และ Bloom ปี 2552 บริษัทมีรายได้ที่ไม่รวมเงินปันผลและรายได้อื่นๆ จำนวน 16,460 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 4% โดยเป็นรายได้จากธุรกิจโรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง 31% ธุรกิจอาหารบริการด่วน 58% และธุรกิจค้าปลีก 8% การเพิ่มขึ้นของรายได้รวมเป็นผลจากการเติบโตของรายได้จากธุรกิจอาหารบริการด่วน 13% และการรวมธุรกิจค้าปลีก โดยสัดส่วนรายได้จากธุรกิจค้าปลีกน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในปี 2553 เนื่องจากจะมีการรับรู้รายได้เต็มปี ผลกระทบจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองทำให้รายได้จากธุรกิจโรงแรมของบริษัทลดลง 19% จากปีก่อน อัตราการเข้าพักรวมของโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของลดลงจาก 65% ในปี 2551 เหลือ 56% ในปี 2552 อีกทั้งอัตราค่าห้องพักต่อคืนและรายได้ต่อห้องพักก็ลดลง 10% และ 23% ตามลำดับ การลดลงของรายได้ต่อห้องพักสะท้อนถึงการลดลงของอุปสงค์ในธุรกิจท่องเที่ยวของไทยซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ซบเซาและการเมืองภายในประเทศที่ไม่มีเสถียรภาพอันกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว ส่วนธุรกิจอาหารบริการด่วนซึ่งนอกจากบริษัทจะให้ความสำคัญกับการขยายกิจการโดยการเปิดสาขาและให้แฟรนไชส์แล้วนั้น บริษัทยังซื้อกิจการของแบรนด์อื่นเพิ่มด้วย เช่น การลงทุนในกิจการเดอะค็อฟฟีคลับ ในปี 2550 และไทยเอ็กเพรสในปี 2551 จำนวนร้านอาหารของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 676 สาขาในปลายปี 2550 เป็น 1,043 สาขาในปลายปี 2552 โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากการลงทุนในเดอะค็อฟฟีคลับ และเพิ่มต่อเนื่องเป็น 1,112 สาขา ณ สิ้นปี 2552 สำหรับความสามารถในการทำกำไรนั้น แม้ในปี 2552 ธุรกิจโรงแรมจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายลดลง 27% แต่ก็ยังคงเป็นธุรกิจที่ทำกำไรสูงสุดของกลุ่มโดยมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายคิดเป็น 44% ของทั้งหมด ตามด้วยธุรกิจอาหารบริการด่วนคิดเป็น 39% ทริสเรทติ้งรายงานถึงอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทโดยรวมว่าลดลงจาก 23% ในปี 2551 เป็น 18.3% ในปี 2552 เนื่องจากธุรกิจโรงแรมมีอัตรากำไรลดลงและมีการรวมธุรกิจค้าปลีกซึ่งมีอัตรากำไรต่ำ เป็นผลทำให้เงินทุนจากการดำเนินงานในปี 2552 ลดลง 12% เหลือ 2,904 ล้านบาท จาก 3,315 ล้านบาทในปี 2551 การกระจายตัวและพื้นที่ตั้งของธุรกิจช่วยให้บริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ค่อนข้างแข็งแรง สภาพคล่องอ่อนตัวลงจากปีก่อนแต่ยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจโดยอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายลดลงเพียง 8.2 เท่าในปี 2552 จาก 11 เท่าในปี 2551 และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมลดลงเหลือ 22.1% ในปี 2552 จาก 31.9% ในปีก่อน ภาระหนี้สินของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมากโดยอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนปรับตัวสูงขึ้นเป็น 52.2% ในปี 2552 เมื่อเทียบกับระดับที่ต่ำกว่า 50% ในช่วงปี 2549-2551 ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงแรมใหม่ 2 แห่ง เมื่อรวมกับแผนการขยายสาขาของธุรกิจอาหารและธุรกิจค้าปลีกแล้วทำให้บริษัทมีแผนการลงทุนประมาณ 7,000 ล้านบาทในช่วงปี 2553-2554 แม้ทริสเรทติ้งคาดหวังให้บริษัทใช้กระแสเงินสดบางส่วนในการลงทุนดังกล่าว แต่ภาระหนี้สินของบริษัทน่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การลงทุนอื่นๆ นอกจากแผนงานในปัจจุบันซึ่งอาจทำให้บริษัทต้องเพิ่มภาระหนี้อย่างมีนัยสำคัญนั้นอาจทำให้ฐานะการเงินของบริษัทอ่อนแอยิ่งขึ้นและอาจมีผลกระทบในทางลบต่ออันดับเครดิตของบริษัท อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยเริ่มฟื้นตัวเล็กน้อยในช่วงต้นปี 2553 หลังจากที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงไป 3% ในปี 2552 อย่างไรก็ตาม การชุมนุมที่ยืดเยื้อและทวีความรุนแรงของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคม 2553 ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติหลีกเลี่ยงการเดินทางมาประเทศไทย อีกทั้งการประกาศ พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินของรัฐบาลยังกระตุ้นให้ชาติทั่วโลกกว่า 40 ประเทศออกประกาศเตือนประชาชนของตนในการเดินทางมาประเทศไทย ภาวะอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยหลังจากนี้จึงได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้ การชุมนุมของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลในย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ ยังก่อให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจในบริเวณพื้นที่โดยรอบอย่างมากซึ่งรวมถึงธุรกิจอาหารบริการด่วนและห้างสรรพสินค้าด้วย โดยบริษัทนั้นได้รับผลกระทบในธุรกิจหลักทั้ง 3 ประเภทซึ่งได้แก่ ธุรกิจโรงแรม อาหาร และค้าปลีกในบางพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าความเสียหายในครั้งนี้เป็นเพียงส่วนน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับโครงสร้างธุรกิจโดยรวมและจะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อฐานะการเงินของบริษัท บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT) อันดับเครดิตองค์กร: คงเดิมที่ A อันดับเครดิตตราสารหนี้:MINT105A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,100 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2553 คงเดิมที่ A MINT10DA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2553 คงเดิมที่ A MINT11OA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2554 คงเดิมที่ AMINT129A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,840 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2555 คงเดิมที่ A MINT137A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2556 คงเดิมที่ A MINT149A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 2,060 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2557 คงเดิมที่ A หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2558 A แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable (คงที่)

ข่าวไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล+อินเตอร์เนชั่นแนลวันนี้

ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดตัว ดิ เอสเตท สมุย โครงการบ้านพักตากอากาศระดับอัลตราลักซ์ชูรี เผยความต้องการอสังหาริมทรัพย์หรูพุ่งต่อเนื่อง ตอบรับกระแสซีรีส์ The White Lotus

ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) กลุ่มบริษัทชั้นนำด้านธุรกิจโรงแรม อสังหาริมทรัพย์ ร้านอาหารและไลฟ์สไตล์ เปิดตัวเฟสใหม่ของโครงการ ดิ เอสเตท สมุย (The Estates Samui) โครงการบ้านพักตากอากาศระดับอัลตราลักซ์ชูรี ซึ่งตั้งอยู่ภายใน โฟร์ซีซั่นส์ รีสอร์ท เกาะสมุย สถานที่ถ่ายทำหลักของ The White Lotus ซีซั่น 3 ซีรีส์ชื่อดังจาก HBO โดยขณะนี้ โครงการ ดิ เอสเตท สมุย กำลังเข้าสู่ช่วงท้ายของการออกแบบ และจะเริ่มเปิดขายอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ จากกระแสความนิยมของซีรีส์ The White Lotus ทำให้ประเทศ

บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (ม... ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จับมือ รอยัล โฮลดิ้งส์ บุกตลาดโรงแรมหรูและไลฟ์สไตล์ในญี่ปุ่น — บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT) ซึ่งเป็นบริ...

มร.วิลเลียม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค ประธานกรรมก... ฉลองเปิด SIN Rooftop Bar — มร.วิลเลียม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค ประธานกรรมการและผู้ก่อตั้ง บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ให้เกียรติเป็นประธาน...

ธนาคารกรุงไทย ร่วมกับ บริษัท ไมเนอร์ อินเ... "กรุงไทย" ผนึก "MINT" ทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน เชื่อมโยงแผนลดการปล่อยคาร์บอน — ธนาคารกรุงไทย ร่วมกับ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหา...

ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ... ธ.เกียรตินาคินภัทร ร่วมสนับสนุนสินเชื่อเพื่อความยั่งยืน Sustainability - Linked Loan ให้กับ MINT — ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKPB ร่วมกับธ...

บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (ม... "ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล" จับมือ "ป๊อปมาร์ท" ยกระดับอาร์ตทอยคัลเจอร์ในประเทศไทย — บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทชั...