LH Bank ปลื้มผลการดำเนินงาน ปี 53 โตเข้าเป้า กำไรสุทธิก่อนภาษี 587 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.0% จากปี 52

24 Feb 2011

กรุงเทพฯ--24 ก.พ.--ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เพื่อรายย่อย

LH Bank ปลื้มผลการดำเนินงาน ปี 53 โตเข้าเป้า กำไรสุทธิก่อนภาษี 587 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.0% จากปี 52 และพร้อมก้าวสู่การเป็นแบงก์พาณิชย์เต็มรูปแบบ หลังเงินกองทุนชั้นที่ 1 มีมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท

นางศศิธร พงศธร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) (LH Bank) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของปี 2553 ว่าธนาคารมีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 62,363 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2552 จำนวน 12,703 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 25.6% ซึ่งเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอด 5 ปีของการก่อตั้งธนาคาร โดยสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อผู้ประกอบการธุรกิจ ซึ่งเติบโตอย่างมีนัยสำคัญกว่า 100.8% ส่งผลให้สัดส่วนสินเชื่อธุรกิจต่อสินเชื่อรวม จากสิ้นปี 2552 อยู่ที่ 25% เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 38% ของสินเชื่อรวม ณ สิ้นปี 2553

จากการที่ธนาคารมีนโยบายการให้สินเชื่อที่ให้ความสำคัญต่อคุณภาพของสินทรัพย์และการบริหารสินเชื่อด้อยคุณภาพ ธนาคารมีสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Gross NPL) อยู่ที่ 1.46% และสินเชื่อด้อยคุณภาพสุทธิ (Net NPL) อยู่ที่ 0.98% ซึ่งถือว่าต่ำสุดในระบบธนาคารพาณิชย์ ประกอบกับธนาคารมีนโยบายการกันเงินสำรองหนี้สูญในเกณฑ์ที่สูง โดยได้กันเงินสำรองหนี้สูญต่อสำรองพึงกันตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย อยู่ที่ 142.8%

ด้านเงินฝากและตั๋วแลกเงิน ณ สิ้นปี 2553 อยู่ที่ 44,861 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2552 ประมาณ 6.7% แบ่งเป็นเงินฝากจำนวน 27,089 ล้านบาท และตั๋วแลกเงินจำนวน 17,772 ล้านบาท โดยธนาคารมีสัดส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินฝากและตั๋วแลกเงิน ณ สิ้นปี 2553 เท่ากับ 94.7% เพิ่มขึ้นจาก 84.7% ณ สิ้นปี 2552 เป็นผลมาจากการเติบโตของสินเชื่อ SME อย่างก้าวกระโดดในปี 2553 นอกจากนี้จำนวนลูกค้าเงินฝากของธนาคารเพิ่มขึ้นจากปี 2552 กว่า 28.4% โดยเพิ่มขึ้นในส่วนลูกค้ารายย่อยวงเงินต่ำกว่า 1 ล้านบาทถึง 11,574 ราย ทำให้สิ้นปี 2553 ธนาคารมีจำนวนผู้ฝากเงินเฉพาะกลุ่มนี้ 53,497 ราย คิดเป็น 91.5% ของจำนวนผู้ฝากเงินทั้งหมด โดยลูกค้าเงินฝากที่เพิ่มขึ้นมาจากความสำเร็จในการทำแคมเปญด้านเงินฝากที่ตรงใจลูกค้า

ผลการดำเนินงานของธนาคารมีความแข็งแกร่งและเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีกำไรสุทธิ (ก่อนหักภาษี) อยู่ที่ 587 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.0% เมื่อเทียบกับปี 2552 หลักๆ เป็นผลมาจากการขยายตัวของสินเชื่อและเงินลงทุน ซึ่งเติบโตอย่างต่อเนื่องจากฐานลูกค้ารายเก่าและรายใหม่ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้กำไรสุทธิก่อนภาษีต่อสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้นจาก 0.94% ในปี 2552 เป็น 1.06% ในปี 2553

ส่วนแผนการดำเนินงานของธนาคารในปี 2554 ยังคงมุ่งมั่นที่จะก้าวสู่การเป็นธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบจากการที่ในปัจจุบันธนาคารมีเงินกองทุนชั้นที่ 1 มากกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งทำให้ธนาคารมีคุณสมบัติที่สามารถยื่นขอปรับฐานะเป็นธนาคารพาณิชย์ ต่อธนาคารแห่งประเทศไทย โดยปัจจุบันธนาคารอยู่ระหว่างดำเนินการ ปัจจุบันธนาคารมีเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2554 อยู่ไม่น้อยกว่า 31.0% โดยธนาคารเชื่อว่าเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง รวมทั้งการมีระดับของเงินสำรองหนี้สูญที่สูงจะเพียงพอที่จะรองรับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดคิดที่อาจเกิดขึ้นได้ ในขณะที่สภาพเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว ฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่งจะช่วยทำให้ธนาคารสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยืดหยุ่น เพื่อการเติบโตอย่างทันท่วงที เมื่อโอกาสทางธุรกิจเพิ่มขึ้นในอนาคต

ส่วนแผนการขยายสินเชื่อในปีนี้เติบโตไม่น้อยกว่า 20% ขณะที่แผนการขยายฐานเงินฝากจะเน้นกลยุทธ์การใช้สาขาในการบุกเบิกและสร้างฐานลูกค้าใหม่มากยิ่งขึ้น ซึ่งสาขาส่วนใหญ่เน้นทำเลที่ตั้งใกล้แหล่งเศรษฐกิจและชุมชน ปัจจุบันธนาคาร มีสาขาทั้งสิ้น 31 สาขา (รวมสำนักงานใหญ่) แบ่งเป็นสาขาในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล 25 สาขา และในภูมิภาคอีก 6 สาขา และในเดือนมีนาคม ที่จะถึงนี้ ธนาคารจะเปิดให้บริการ 2 สาขา คือ สาขาวรจักร และ สาขาตลาดวโรรส เชียงใหม่ ซึ่งถือเป็นสาขาที่มีภาพลักษณ์ เข้ากับวัฒนธรรมในชุมชน แต่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของ LH Bank โดยทุกสาขาของธนาคารมีบริการด้านธุรกรรมทางการเงินหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ด้านสินเชื่อธุรกิจ, สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย, ผลิตภัณฑ์ด้านเงินฝาก อาทิ เงินฝากออมทรัพย์พิเศษ ซึ่งปัจจุบันให้อัตราดอกเบี้ยสูงถึง 1.70% ทั้งนี้ธนาคารมีแผนที่จะเปิดสาขาในปี 2554 อีกจำนวน 10-15 สาขา

สำหรับแผนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ของบริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของธนาคาร ซึ่งได้แต่งตั้งบริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน โดยจะเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) เพื่อเตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และคาดว่าหุ้นของบริษัทจะสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ ภายในไตรมาสที่ 2 ปี 2554 นี้

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม: ส่วนโฆษณาและประชาสัมพันธ์ โทร. 02 359 0283