กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงานสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้รวม 12 จังหวัด 130 อำเภอ 819 ตำบล 5,643 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อน 570,317 ครัวเรือน 1,833,277 คน ขณะนี้สถานการณ์คลี่คลายแล้วอยู่ในระหว่างฟื้นฟู 6 จังหวัด ยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย 6 จังหวัด 73 อำเภอ 525 ตำบล 3,743 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อน 256,940 ครัวเรือน 843,214 คน ผู้เสียชีวิต 60 ราย แต่ยังต้อง เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลันใน 41 อำเภอ ยังมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำริมทะเลสาบสงขลา5 อำเภอ รวมถึงต้องเฝ้าระวังน้ำป่าไหลหลากและดินถล่ม 17 อำเภอ และสถานการณ์อุทกภัยคลี่คลายแล้วอยู่ในระหว่างฟื้นฟู10 อำเภอ การช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จัดเจ้าหน้าที่ออกสำรวจความเสียหาย และนำเครื่องอุปโภคบริโภคไปแจกจ่ายให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยเบื้องต้นแล้ว
นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กล่าวว่า สถานการณ์อุทกภัยในภาคใต้ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน – ปัจจุบัน มีพื้นที่ประสบภัยรวม12 จังหวัด 130 อำเภอ 819 ตำบล 5,643 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อน 570,317 ครัวเรือน 1,833,277 คน ขณะนี้สถานการณ์อุทกภัยคลี่คลายแล้วอยู่ในระหว่างฟื้นฟู 6 จังหวัด ได้แก่ สตูล นราธิวาส ยะลา กระบี่ ชุมพร และระนอง ยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย 6 จังหวัด 73 อำเภอ 525 ตำบล 3,743 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อน 256,940 ครัวเรือน 843,214 คน ผู้เสียชีวิต 60 ราย ดังนี้
สงขลา น้ำท่วมในพื้นที่ 5 อำเภอ 42 ตำบล 309 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อน 47,320 ครัวเรือน 144,841 คน ยังคงมีน้ำท่วมขังในที่ลุ่มต่ำริมทะเลสาบสงขลา 5 อำเภอ ได้แก่อำเภอควนเนียง สทิงพระ ระโนด สิงหนคร และกระแสสินธุ์
ตรัง น้ำท่วมพื้นที่ 9 อำเภอ 8 เทศบาล 64 ตำบล 439 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อน 20,800 ครัวเรือน 60,000 คน ยังต้อง เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอรัษฎา วังวิเศษ กันตัง และสิเกา รวมถึงต้องเฝ้าระวังน้ำป่าไหลหลากและดินถล่มใน 5 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองตรัง นาโยง ห้วยยอด ย่านตาขาว และปะเหลียน
สุราษฎร์ธานี น้ำท่วมพื้นที่ 19 อำเภอ 115 ตำบล 858 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อน 59,936 ครัวเรือน 200,345 คน ยังต้องเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลันใน 15 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี พนม เคียนซา พุนพิน เวียงสระ พระแสง ท่าฉาง กาญจนดิษฐ์ ดอนสัก
บ้านตาขุน บ้านนาเดิม คีรีรัฐนิคม เกาะพงัน ชัยบุรี เกาะสมุย รวมถึงต้องเฝ้าระวังน้ำป่าไหลหลากและดินถล่มใน 4 อำเภอ ได้แก่ วิภาวดี บ้านนาสาร ไชยา และท่าชนะ
นครศรีธรรมราช น้ำท่วมพื้นที่ 23 อำเภอ 164 ตำบล 1,275 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อน 70,462 ครัวเรือน 228,413 คน ยังต้องเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลันใน 15 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช หัวไทร ขะอวด จุฬาลงกรณ์ ทุ่งสง ท่าศาลา ถ้ำพรรณรา ช้างกลาง ปากพนัง บางขัน นาบอน ทุ่งใหญ่ พระพรหม เชียรใหญ่ และเฉลิมพระเกียรติ รวมถึงต้องเฝ้าระวังน้ำป่าไหลหลากและดินถล่มใน 8 อำเภอ ได้แก่ อำเภอลานสกา สิชล พิปูน ขนอม นบพิตำ ร่อนพิบูลย์ พรหมคีรี และฉวาง
พัทลุง น้ำท่วมพื้นที่ 5 อำเภอ 40 ตำบล 430 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อน 29,442 ครัวเรือน 94,626 คน พื้นที่การเกษตรคาดว่าได้รับความเสียหาย 482,330 ไร่ ยังต้องเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลันใน 5 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองพัทลุงเขาชัยสน ควนขนุน ปากพะยูน และบางแก้ว
ปัตตานี น้ำท่วมพื้นที่ 12 อำเภอ 100 ตำบล 432 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อน 28,980 ครัวเรือน 114,989 คน ยังต้อง เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลันทั้ง 2 อำเภอ ได้แก่ อำเภอแม่ลาน และปะนาเระ สถานการณ์คลี่คลายแล้วอยู่ระหว่างฟื้นฟู 10 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองปัตตานี โคกโพธิ์ มายอ สายบุรี กระพ้อ ยะรัง หนองจิก ยะหริ่ง ไม้แก่น และทุ่งยางแดง
สำหรับการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 11
สุราษฎร์ธานี เขต 12 สงขลา และสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดในพื้นที่ประสบภัยได้ประสานความร่วมมือกับจังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ประสบภัยจัดส่งเรือท้องแบน 304 ลำ รถกู้ภัยทุกชนิด 126 คัน รถไฟฟ้าส่องสว่าง5 คัน ถุงยังชีพ 11,561 ชุด เต๊นท์ที่พักอาศัย 3,000 หลัง น้ำดื่ม 11,132 ขวด ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ 58 เครื่อง เสื้อชูชีพ 100 ตัว รถผลิตน้ำ2 คัน เครื่องอุปโภคบริโภค 92,435 ชุด ผ้าห่ม 150 ชุด ข้าวกล่อง 2,372 กล่อง พร้อมเจ้าหน้าที่ 1,337 คน กระสอบทราย 121,500 ใบ สนับสนุนการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยด่วนแล้ว รวมถึงเร่งสำรวจความเสียหาย เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ สุดท้ายนี้ หากประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัยสามารถติดต่อขอความช่วยเหลือทางสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานและให้ความช่วยเหลือโดยด่วนต่อไป