บลจ.ไอเอ็นจี ปลื้มยอดจองกองทุน ‘เอเชี่ยน เดบท์ รีจินอล บอนด์ ปันผล’ 1.3 พันล้าน

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

กรุงเทพฯ--14 ก.พ.--มาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์

บลจ.ไอเอ็นจี ปลื้มยอดจองกองทุน ‘เอเชี่ยน เดบท์ รีจินอล บอนด์ ปันผล’ 1.3 พันล้านมองตราสารหนี้ภูมิภาคเอเชียเป็นที่ต้องการของนักลงทุนต่างชาติชี้สัญญาณเงินไหลเข้าเอเชียต่อเนื่อง จากเงินอัดฉีดของ ECB และธนาคารกลางอังกฤษเผยนักลงทุนพลาดจองซื้อช่วง IPO สามารถเข้าลงทุนรอบใหม่ 15 กุมภาพันธ์นี้ บลจ.ไอเอ็นจี ปิดการขาย “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เอเชี่ยน เดบท์ รีจินอล บอนด์ ปันผล” เผยผลตอบรับน่าพอใจ หลังจากนักลงทุนให้ความสนใจจองซื้อกว่า 1.3 พันล้านบาท ชี้ปัจจัยสนับสนุนยอดขาย มาจากนักลงทุนเชื่อมั่นในสินทรัพย์ปลายทางที่กองทุนเข้าลงทุน ซึ่งได้แก่ ตราสารหนี้ภูมิภาคเอเชีย หลังแนวโน้มการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียมีความชัดเจนและโดดเด่นกว่าภูมิภาคอื่นๆ มากขึ้น และยังคงเป็นสินทรัพย์อันดับต้นๆ ที่นักลงทุนต่างชาติต้องการ พร้อมปัจจัยหนุนจากการอัดฉีดสภาพคล่องของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ในขณะที่ดอกเบี้ยทั่วโลกอยู่ในทิศทางปรับลดลง หนุนให้เงินลงทุนไหลเข้าในภูมิภาคเอเชียทั้งตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้นที่สร้างผลตอบแทนที่สูงกว่า มองเป็นปัจจัยบวกในการสร้างผลตอบแทนให้กับกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เอเชี่ยน เดบท์ รีจินอล บอนด์ ปันผล เผยนักลงทุนที่สนใจแต่พลาดการจองซื้อในช่วง IPO สามารถเริ่มลงทุนรอบใหม่ได้ตั้งแต่ 15 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่ บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) ได้เสนอขาย “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เอเชี่ยน เดบท์ รีจินอล บอนด์ ปันผล” ให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ในระหว่างวันที่ 30 มกราคม ถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ปรากฏว่า ได้รับผลตอบรับจากนักลงทุนอย่างน่าพอใจ ทำให้กองทุนสามารถปิดการขายได้ด้วยยอดการจองซื้อทั้งสิ้นกว่า 1.3 พันล้านบาท ซึ่งเชื่อว่า ปัจจัยสนับสนุนการตัดสินใจซื้อของนักลงทุนในครั้งนี้ มาจากความมั่นใจในสินทรัพย์ที่กองทุนเข้าไปลงทุน คือ ตราสารหนี้ภูมิภาคเอเชีย ได้แก่ ตราสารหนี้ ตราสารตลาดเงินและเงินฝากของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย ที่มีความเสี่ยงต่ำในขณะที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ รวมทั้งความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ ดังนั้นจึงทำให้ตราสารหนี้ภูมิภาคเอเชียเป็นสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับการลงทุนในปีนี้ “ในช่วงที่ผ่านมาเราเห็นสัญญาณการเข้ามาลงทุนในภูมิภาคเอเชียเพิ่มมากขึ้น ล่าสุดจากการที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ประกาศใช้เม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ ผ่าน QE เพิ่มเติมอีก 5 หมื่นล้านปอนด์ หลังจากที่ได้ใช้ไปแล้ว 7.5 หมื่นล้านปอนด์ตั้งแต่ไตรมาส 4/2554 ที่ผ่านมา เพื่อเป็นการอัดฉีดสภาพคล่องทางการเงิน และการที่ทางธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบผ่านการให้กู้ยืมดอกเบี้ยต่ำแก่สถาบันการเงินในยุโรปเพิ่มเติมอีก 1 ล้านล้านเหรียญยูโร ภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ในขณะที่ทาง ECB ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1% และมีแนวโน้มที่จะปรับลดลงอีกในปีนี้ ดังนั้น การเลือกใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายและการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ เราจึงคาดว่าเม็ดเงินที่เพิ่มมากขึ้นจะไหลเข้ามาลงทุนในภูมิภาคที่มีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า จึงเป็นโอกาสให้ “ตราสารหนี้ภูมิภาคเอเชีย” เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่อยู่ในความสนใจของนักลงทุนต่างชาติ โดยนับตั้งแต่ต้นปี – 9 กุมภาพันธ์ 2555 ค่าเงินในภูมิภาคเอเชียแข็งค่าขึ้น 2.92% (อินเดีย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, เกาหลีใต้, ฟิลิปปินส์, ไต้หวัน, ไทย, อินโดนีเซีย, ฮ่องกง, จีน) แสดงให้เห็นว่านักลงทุนต่างชาติได้หันกลับมาลงทุนในภูมิภาคเอเชียอย่างต่อเนื่อง” นายจุมพลกล่าว อย่างไรก็ตาม หากมองโอกาสการสร้างผลตอบแทนของ “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เอเชี่ยน เดบท์ รีจินอล บอนด์ ปันผล” มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ คือ ING (L) Renta Fund Asia Debt (Local Bond)* ซึ่งกองทุนรวมต่างประเทศนี้เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภูมิภาคเอเชียสกุลเงินท้องถิ่น จะมาจากอัตราดอกเบี้ย โอกาสในการทำกำไรจากราคาตราสารหนี้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และโอกาสการทำกำไรของอัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้น จากภาพรวมเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและเติบโตของภูมิภาคเอเชียและปัจจัยสนับสนุนการลงทุนต่างๆ ที่โฟกัสมาที่ภูมิภาคเอเชีย ทำให้เราคาดว่าจะเป็นโอกาสที่กองทุนนี้จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน รวมทั้งกองทุนมีนโยบายการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ที่จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับกองทุนมากขึ้น โดยนักลงทุนที่พลาดการจองซื้อในช่วง IPO และสนใจเข้าลงทุนใน “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เอเชี่ยน เดบท์ รีจินอล บอนด์ ปันผล” สามารถเข้าลงทุนได้ตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์นี้เป็นต้นไป สำหรับการลงทุนในกองทุนประเภทอื่นๆ ทาง บลจ.ไอเอ็นจี แนะนำการลงทุนในกองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพราะนับตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา – 9 กุมภาพันธ์ 2555 ตลาดหุ้นไทยสามารถสร้างผลตอบแทนได้ 8.96% มีเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติเข้าลงทุนโดยเป็นยอดซื้อสุทธิ 22,367 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจของนักลงทุนต่างชาติต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ดังนั้น สำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงในการลงทุนได้เพิ่มมากขึ้น กองทุนเปิดไอเอ็นจีไทยอีควิตี้ฟันด์ เป็นอีกหนึ่งกองทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้นักลงทุนได้ โดยนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา – 27 มกราคม 2555 กองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้ 6.05% สูงกว่าเมื่อเทียบกับดัชนี SET Index ที่ 4.97% โดยในช่วง 3 เดือนย้อนหลังผลตอบแทนกองทุนอยู่ที่ 13.53%, 6 เดือนเท่ากับ -4.37%, 3 ปีเท่ากับ 164.48%, นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเท่ากับ 271.63% ผลตอบแทนกองทุนดีกว่าเมื่อเทียบกับดัชนีเปรียบเทียบ SET Index ที่ 10.60%, -5.05%, 145.90% และ 137.28% ตามลำดับ “บลจ.ไอเอ็นจี ยังคงมองว่าภูมิภาคเอเชียยังคงเป็นภูมิภาคที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนได้เป็นอย่างดีในปีนี้ ทั้งการลงทุนในตราสารหนี้ภูมิภาคเอเชีย เช่น กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เอเชี่ยน เดบท์ รีจินอล บอนด์ ปันผล หรือการลงทุนในตลาดหุ้นไทย เช่น กองทุนเปิดไอเอ็นจีไทยอีควิตี้ฟันด์ และการบริหารการลงทุนในแบบ Active Management โดยผู้จัดการกองทุนในลักษณะการวิเคราะห์และคาดการณ์ภาวะตลาดในอนาคตและการจับจังหวะการลงทุนที่เหมาะสมนั้น ทำให้เราเชื่อมั่นว่าทั้งสองกองทุนนี้จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนในระยะยาว” นายจุมพลกล่าว สำหรับผู้สนใจลงทุนในกองทุนของ บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่โทร. 0-2688-7777 กด 2 ผ่ายธุรกิจกองทุนและที่ปรึกษาการลงทุน หรือ www.ingfunds.co.th การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต ของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต การวัดผลการดำเนินงานนี้ได้จัดทำขึ้นตามมาตรฐานการวัดผลการดำเนินงานของกองทุนรวมของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน กองทุนนี้อาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) ตามความเหมาะสมและสภาวการณ์ในแต่ละขณะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจที่ผู้จัดการกองทุนเห็นว่าเหมาะสม เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับอัตราแลกเปลี่ยนที่อาจะเกิดขึ้นได้จากการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนของกองทุนนี้ขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนน้อยกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ : * กองทุนต่างประเทศนี้อยู่ระหว่างการเปิดเสนอขายครั้งแรก เนื่องจากกองทุนนี้จะไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศที่อยู่ระหว่างการเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก จึงมีความเสี่ยงที่กองทุนต่างประเทศอาจยกเลิกการระดมทุน จนทำให้กองทุนนี้ไม่สามารถไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศได้ตามวัตถุประสงค์ของกองทุน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์โดย คุณพรพรรณ ไพบูลย์วัฒนชัย บริษัท มาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจกองทุนและที่ปรึกษาการลงทุน อรอนงค์ ภัทรเวชกุล (ฟ้า) บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด T-0-2248-7967-8 ต่อ 117 T- 0-2688-7785 F- 0-2688-7707 E- [email protected] [email protected] -นท- สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net

ข่าวธนาคารกลางอังกฤษ+กองทุนเปิดวันนี้

กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets) ค่าเงินบาทประจำวันที่ 4 สิงหาคม 2566

กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.40-34.70บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินดอลลาร์ยังคงแข็งค่าเทียบกับสกุลอื่น ตัวเลขแรงงานสหรัฐออกมาดี ตลาดวันนี้รอตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร เพื่อยืนยันว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์หลังเยอรมันเผยตัวเลขนำเข้าที่ลดลง บ่งบอกการชะลอตัวของอุปสงค์ในประเทศ ค่าเงินปอนด์ปรับอ่อนค่าหลังธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียง 25bps มาสู่ระดับ5.25% ตลาดยังคงกังวลสถานการณ์การเมือง

L3COS เสนอระบบปฏิบัติการบล็อกเชนสำหรับกำกับดูแลสกุลเงินดิจิทัลแก่ธนาคารกลาง 6 แห่ง

- L3COS เสนอระบบปฏิบัติการบล็อกเชนภายใต้การกำกับระบบแรกของโลก - หลังจากที่เสนอต่อธนาคารกลางอังกฤษเป็นแห่งแรกเมื่อต้นเดือนมิถุนายน L3COS ได้ยื่นข้อเสนอเพื่อการพัฒนาระบบปฏิบัติการบล็อกเชนภายใต้การกำกับ (regulated...

กรุงศรีคาดเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 31.25-31.65 มองสกุลเงินเกิดใหม่เผชิญแรงกดดัน

กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาท ในสัปดาห์นี้ว่ามีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 31.25-31.65 ต่อดอลลาร์ เทียบกับระดับปิดอ่อนค่าที่ 31.47 ต่อดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ...

สรุปสภาวะตลาดทองคำแท่งและโกลด์ฟิวเจอร์ส วันที่ 05 กรกฎาคม 2560 โดย YLG

สภาวะตลาดวันที่ 05 กรกฎาคม 2560 ราคาทองคำแกว่งตัวในกรอบที่ระดับ 1,218.09-1,228.84 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำแท่ง 96.5% ภายในประเทศขายออกอยู่ที่ 19,750 บาทต่อบาททองคำ โดยราคาปรับตัวลดลง 50 บาท จากวันก่อนหน้าที่ระดับ 19,800...

กรุงศรีคาดเงินบาทสัปดาห์นี้ซื้อขายในช่วง 34.40-34.80 จับตาประชุมธนาคารกลางอังกฤษ

ฝ่ายส่งเสริมธุรกิจและกำกับดูแลโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 34.40-34.80 ต่อดอลลาร์ เทียบกับระดับปิดอ่อนค่าที่ 34.68 บาทต่อดอลลาร์...

สรุปสภาวะตลาดทองคำแท่งและโกลด์ฟิวเจอร์ส วันที่ 04 พฤศจิกายน 2559 โดย YLG

สภาวะตลาดวันที่ 04 พฤศจิกายน 2559 ราคาทองคำแกว่งตัวในกรอบที่ระดับ 1,294.15-1,304.35 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำแท่ง 96.5% ภายในประเทศขายออกอยู่ที่ 21,550 บาทต่อบาททองคำ โดยราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 100 บาท จากวันก่อนหน้าที่ระดับ...

"ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์" ประธานเจ้าหน้าท... Gossip News: บลจ.ทาลิส ชี้ ตลาดเงิน-ตลาดทุน มีแต่ความกังวลปกคลุม — "ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์" ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ทาลิส เค้าบอกมาว่า ตลาดเงิน-ตลา...

สรุปสภาวะตลาดทองคำแท่งและโกลด์ฟิวเจอร์ส วัน ที่ 16 กันยายน 2559 โดย YLG

สภาวะตลาดวันที่ 16 กันยายน 2559 ราคาทองคำแกว่งตัวในกรอบที่ระดับ 1,312.48-1,318.06 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำแท่ง 96.5% ภายในประเทศขายออกอยู่ที่ 21,700 บาทต่อบาททองคำ โดยราคาปรับตัวลดลง 150 บาท จากวันก่อนหน้าที่ระดับ 21,850...

สรุปสภาวะตลาดทองคำแท่งและโกลด์ฟิวเจอร์ส วันที่ 5 สิงหาคม 2559 โดย YLG

สภาวะตลาดวันที่ 05 สิงหาคม 2559 ราคาทองคำแกว่งตัวในกรอบที่ระดับ 1,364.80-1,358.70 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำแท่ง 96.5% ภายในประเทศขายออกอยู่ที่ 22,500 บาทต่อบาททองคำ โดยราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 100 บาท จากวันก่อนหน้าที่ระดับ 22...