ประเทศไทย: ปลุกความเชื่อมั่นให้นักลงทุนหลังประเทศผ่านวิกฤตน้ำท่วม

14 Jun 2012

กรุงเทพฯ--14 มิ.ย.--สปาร์ค คอมมิวนิเคชั่นส์

คำบรรยายใต้ภาพ: จากซ้าย มิส แอนเน่ ชลาเกล ผู้อำนวยการฝ่ายต่างประเทศของโอบีจีประจำประเทศไทย, นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลังและมร.อเล็กซ์ กอร์ดี้ ผู้จัดการกองบรรณาธิการ

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง กล่าว “การซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วมปีที่ผ่านมาและการสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนว่าประเทศไทยจะสามารถป้องกันภัยพิบัติน้ำท่วมถือเป็นเรื่องสำคัญของประเทศ”

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ให้สัมภาษณ์กับอ๊อกฟอร์ด บิสสิเนส กรุ๊ป (OBG: Oxford Business Group) บริษัททำรายงานวิจัย จัดพิมพ์ และเป็นบริษัทที่ปรึกษาระดับโลก ว่าการซ่อมแซมหลังน้ำท่วมประมาณการที่ 1.4 หมื่นล้านบาท หรือ 44.66 พันล้านเหรียญสหรัฐ ถือเป็นรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างมากและทำให้นโยบายทางเศรษฐกิจจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นายกิตติรัตน์เชื่อมั่นว่าแผนการแก้ปัญหาการบริหารจัดการน้ำในช่วงสองปีข้างหน้าที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ได้ออกมาถือเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน

นายกิตติรัตน์ กล่าว "การพัฒนาระบบการบริหารจัดการน้ำเช่นเดียวกับการฟื้นฟูน้ำท่วมถือเป็นประเด็นหลักของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.)" พร้อมเสริม "การดำเนินการตามนโยบายบางอย่างเช่น การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำต้องล่าช้าออกไปเล็กน้อยจากเดือนมกราคมเป็นเดือนเมษายน 2555 เพื่อให้ภาคธุรกิจ มีระยะเวลาเพื่อการฟื้นตัวหลังจากน้ำท่วม แต่อย่างไรก็ตามผมคิดว่าการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากแผนการพัฒนาระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำควรจะมีผลกระตุ้นในเชิงบวกต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ"

บทสัมภาษณ์ฉบับเต็มของคุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง จะปรากฏในรายงาน : ประเทศไทยปี 2555 (The Report: Thailand 2012) ซึ่งเป็นคู่มือเกี่ยวกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศและโอกาสในการลงทุนฉบับใหม่ จัดพิมพ์ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) หลักทรัพย์ธนชาต บริษัทติลลิกี่ แอนด์ กิบบินส์ และบีดีโอ ถือเป็นรายงานฉลองครบสามปี ที่นำเสนอรายละเอียดเป็นหมวดหมู่ให้กับนักลงทุนชาวต่างชาติ ประกอบกับบทสัมภาษณ์ของผู้นำที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นผู้นำทางการเมือง เศรษฐกิจ และทางธุรกิจ

นายกิตติรัตน์ ยังกล่าวถึงการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคของประเทศในกลุ่มอาเซียนที่จะเริ่มในปี 2558 ที่จะเอื้อประโยชน์ให้กับนักลงทุนเป็นอย่างมาก รวมถึงการเข้าถึงตลาดที่ใหญ่ขึ้นและฐานการผลิตที่เพิ่มขึ้น

และยังกล่าวว่า ประเทศไทยได้สร้างจุดแข็งของตัวเองขึ้นมา ซึ่งรวมถึงยุทธศาสตร์ที่ตั้งและชื่อเสียงในเรื่องศูนย์กลางอุตสาหกรรมในภูมิภาค เพื่อเตรียมการสำหรับการรวมกลุ่มประเทศอาเซียนที่เต็มรูปแบบ "การรวมตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาคจะเป็นผลดีทั้งในเรื่องของสินค้า การให้บริการและการดึงดูดคนให้เข้ามาในภูมิภาครวมทั้งประเทศไทยมากขึ้น" พร้อมเสริม "เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการนี้ รัฐบาลจึงมีการวางแผนที่จะปรับโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกอย่างเต็มรูปแบบเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการรวมกลุ่มอาเซียน."

มร. พอเลียช คูซินาส (Paulius Kuncinas) บรรณาธิการฝ่ายภูมิภาค บริษัท อ๊อกฟอร์ด บิสสิเนส กรุ๊ป เห็นด้วยกับการเปิดพรมแดนทางเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ซึ่งถือเป็นโอกาสทองของประเทศไทยในการเติบโตในระดับภูมิภาค พร้อมกล่าว "ถึงแม้ว่าบางภาคธุรกิจ เช่น การธนาคารและโลจิสติกอาจได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น แต่เราคิดว่าภาพรวมของการรวมกลุ่มอาเซียนจะเป็นผลดีที่ทำให้มีประสิทธิภาพและการผลิตเพิ่มมากขึ้น"

มร. พอเลียช เสริมว่ารายงาน: ประเทศไทย 2555 จะพิจารณาเนื้อหาเกี่ยวกับการเรียนรู้จากน้ำท่วมในประเด็นหลัก เช่น การจัดการน้ำ การประกันภัย การก่อสร้างและโลจิสติก และยังรวมถึงการปรับตัวของธุรกิจในช่วงเวลาที่ท้าทายอีกด้วย

"นอกเหนือจากความเสี่ยงทางการเมืองแล้ว ภาคเอกชนถือว่ามีการดำเนินงานที่ดีในสภาวะที่ยากลำบากและยังได้เปรียบทางการแข่งขันภายใต้การเติบโตในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจการเกษตร อิเล็กทรอนิกส์และภาคยานยนต์" พร้อมกล่าว "ถึงแม้ว่าการเติบโตของประเทศไทยในปีที่แล้วเป็นไปอย่างเชื่องช้า แต่เราเชื่อมั่นว่าประเทศไทยสามารถอยู่บนทิศทางในการเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศอาเซียนที่มีเสถียรภาพทางระบบเศรษฐกิจมากที่สุด"

รายงาน : ประเทศไทยปี 2555 (The Report: Thailand 2012) ได้เตรียมพร้อมและทำการวิจัยในประเทศมากกว่าหกเดือน โดยทีมงานของนักวิเคราะห์จากโอบีจี รายงานฉบับนี้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโอกาสสำหรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศและเป็นแนวทางที่สำคัญในหลายแง่มุมของประเทศ รวมทั้งเศรษฐกิจมหภาค โครงสร้างพื้นฐาน การธนาคารและการพัฒนาภาคการผลิต นอกจากนี้ยังนำเสนอรายละเอียดเป็นหมวดหมู่ให้กับนักลงทุนชาวต่างชาติ ประกอบกับบทสัมภาษณ์ของผู้นำที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นผู้นำทางการเมือง เศรษฐกิจ และธุรกิจ โดยรายงานฉบับนี้มีทั้งรูปแบบตีพิมพ์และออนไลน์

ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมด้านข่าวประชาสัมพันธ์กรุณาติดต่อ วารดี วสวานนท์ บริษัท สปาร์ค คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด อีเมล์ [email protected] โทร. 02 653-2717-9

-นท-

สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net