กลุ่มตลาดที่มีโครงสร้างแข็งแกร่ง
- ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวทั่วภูมิภาคเอเชีย เรายังคงมองหาตลาดที่มีโครงสร้างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในอาเซียน
- ในขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นบางแห่งเช่นจีน ยังคงมีหลักทรัพย์ที่มีราคาน่าสนใจอย่างยิ่ง และพร้อมจะปรับตัวขึ้นได้เมื่อตลาดมีการปรับเปลี่ยนการลงทุนหุ้นตามรอบ
- ในภาพรวม เรายังคงเน้นการสร้างพอร์ตลงทุนหุ้นเอเชียในลักษณะสมดุล
เมื่อเดือนที่แล้ว เราระบุว่าการปรับตัวขึ้นของหุ้นในไตรมาสที่ 3 มีความแตกต่างอย่างมากจากในไตรมาสแรก และเป็นเวลาที่ควรจะใช้กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นเอเชียแบบอนุรักษ์นิยมมากขึ้นเรายังคงใช้กลยุทธ์เช่นเดิมสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียในไตรมาสถัด ๆ ไป
ถึงแม้ว่าตลาดหุ้นเอเชียจะสามารถประคองตัวได้ดีในช่วงฤดูร้อนที่เพิ่งผ่านไป โดยได้แรงหนุนจากราคาหุ้นที่ต่ำและความคาดหวังด้านการใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางต่าง ๆ แต่เครื่องบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้ดูจะยังมีน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (purchasing managers indexes หรือ PMIs) ของประเทศต่าง ๆ เช่น จีน ไต้หวัน และเกาหลี ที่สะท้อนถึงสภาพความอ่อนแออย่างต่อเนื่องของปริมาณคำสั่งซื้อที่ผู้ส่งออกได้รับ ซึ่งเป็นข้อเตือนใจสำหรับนักลงทุนว่าภูมิภาคเอเชียก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบจากปัญหาความอ่อนแอของยุโรปและอเมริกาได้
ผลประกอบการรายไตรมาสของบริษัทต่าง ๆ ทั่วเอเชียที่ประกาศออกมาเมื่อเร็ว ๆ นี้แสดงว่า ภาวะการชะลอตัวนี้ได้เริ่มสร้างแรงกดดันต่อภาคธุรกิจในรูปของผลประกอบการ และเผยให้เห็นถึงสภาพความอ่อนแอเชิงโครงสร้างของภาคธุรกิจในเอเชีย ตัวอย่างเช่นในจีน เราสามารถสังเกตเห็นว่าการขยายตัวของภาคธุรกิจต้องพึ่งพาการเพิ่มเงินทุนหมุนเวียนมากขึ้นเรื่อย ๆ
เพราะฉะนั้นเราจึงมุ่งเน้นการลงทุนในตลาดที่มีโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและขยายตัวได้ต่อเนื่อง จึงทำให้เราเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย
ในขณะเดียวกัน เราก็ยังชอบประเทศจีนแต่ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน กล่าวคือ ถึงแม้ว่าผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ จะออกมาไม่ค่อยดี แต่ราคาหุ้นยังต่ำมาก ซึ่งจะช่วยให้ตลาดหุ้นจีนสามารถปรับตัวขึ้นได้ง่ายหากความเชื่อมั่นของนักลงทุนฟื้นตัว และมีการโยกเงินกลับเข้าลงทุนในหุ้นวัฎจักร นอกจากนี้ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นจีนยังจะได้รับอานิสงส์จากมาตรการผ่อนคลายด้านนโยบายของรัฐบาลในอนาคต
ในการพิจารณาเลือกลงทุนในตลาดและกลุ่มธุรกิจ เราเน้นหลักเกณฑ์ 5 ประการในการสร้างพอร์ตลงทุนแบบสมดุล ดังนี้ (1) นโยบายกระตุ้นทางการเงินที่มีผลดีต่อตลาดหุ้น (2) โอกาส/ศักยภาพการขยายตัวของธุรกิจที่ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ (3) กระแสข่าวในเชิงบวกต่าง ๆ (4) ราคาต่ำ (5) แนวโน้มที่ดีในระยะยาว
กลยุทธ์การลงทุน
- ถึงแม้ว่าเครื่องบ่งชี้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียดูจะยังมีน้อย และเห็นได้ชัดว่ามีความเสี่ยงที่จะตามมา เราก็ยังคงให้น้ำหนักเพิ่มสำหรับการลงทุนในตลาดอาเซียนที่พึ่งพาปัจจัยภายในประเทศเป็นหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
- ในขณะเดียวกัน ตลาดบางตลาดเช่นจีน มีราคาหุ้นที่ซื้อขายกันต่ำมาก และสามารถปรับตัวขึ้นได้เร็วเมื่อมีการปรับเปลี่ยนเข้าลงทุนในกลุ่มหุ้นวัฎจักร หรือหุ้นที่เล่นตามรอบ
- เราเน้นการสร้างพอร์ตลงทุนหุ้นในเอเชียแบบสมดุล
เอเชีย: ในระยะข้างหน้า
- การขยายตัวของเอเชียมาถึงช่วงของการชะลอตัวและการเปลี่ยนแปลง โดยจะมุ่งเน้นความสามารถในการเพิ่มผลผลิตมากขึ้น
- เราคาดว่าปัจจัยการขยายตัวเชิงโครงสร้างมี 3 ด้านด้วยกัน คือ การส่งออกสินค้าคุณภาพสูง การประกันสุขภาพและความปลอดภัยของผู้สูงอายุ และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค
แนวทางพิจารณาธุรกิจที่มีการเติบโตเชิงโครงสร้าง
เศรษฐกิจเอเชียกำลังอยู่ในภาวะชะลอตัว โดยที่ผ่านมา บริษัทในเอเชียหลายแห่งดำเนินธุรกิจโดยได้ประโยชน์จากค่าจ้างแรงงานราคาถูกมาเป็นเวลานาน แต่ปัจจุบันภาระค่าแรงได้เพิ่มสูงขึ้นและบริษัทต่างๆขณะนี้จำเป็นต้องใช้แรงงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและส่งออกสินค้าคุณภาพสูงมากขึ้น รวมทั้งปรับตัวรับแนวโน้มตลาดใหม่ ๆ ดังนั้นปริมาณผลผลิต นวัตกรรม และความสามารถในการปรับตัว จึงเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จมากกว่าค่าแรงราคาถูกเช่นในอดีต
ความเห็นรายตลาด
เพิ่มน้ำหนักลงทุน (overweight) ในตลาดอินโดนีเซีย จีน มาเลเซีย และไทย
ให้น้ำหนักลงทุนเป็นกลาง (neutral) ในตลาดสิงคโปร์ เกาหลี ฟิลิปปินส์ และฮ่องกง
ลดน้ำหนักลงทุน (underweight) ในตลาดไต้หวัน และอินเดีย
ความเห็นรายกลุ่มธุรกิจ
เพิ่มน้ำหนักลงทุน (overweight): สินค้าเพื่อสุขภาพ กลุ่มพลังงาน สินค้าฟุ่มเฟือย
ให้น้ำหนักเป็นกลาง (neutral): ธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศ ธุรกิจการเงิน สินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ธุรกิจสื่อสาร
ลดน้ำหนักลงทุน (underweight): สินค้าอุตสาหกรรม กิจการสาธารณูปโภค สินค้าวัสดุ
เพิ่มน้ำหนักลงทุนในประเทศไทย (overweight)
- เรายังคงเพิ่มน้ำหนักลงทุน (overweight) ในประเทศไทย
- ตลาดไทยเป็นตลาดที่มีโครงสร้างที่แข็งแกร่งในระยะยาว และมีปัจจัยกระตุ้นการเติบโตในระยะสั้น
- เป็นตลาดยอดนิยม แต่ราคาหุ้นยังอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผล
เหตุใดจึงเพิ่มน้ำหนักลงทุนในตลาดหุ้นไทย
ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีโครงสร้างที่แข็งแกร่งในระยะยาว ราคาหุ้นไทยอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผล และมีความเป็นไปได้ที่จะเติบโตเกินคาดในระยะสั้น มีอัตราเงินปันผลตอบแทนที่น่าสนใจ ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองมีแนวโน้มผ่อนคลายลง
ตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดยอดนิยมแห่งหนึ่งในภูมิภาคนี้ ทั้งในด้านซื้อและขาย นายเลอีฟ เอสกีเซน นักเศรษฐศาสตร์ของเอชเอสบีซี เชื่อว่านโยบายการคลังของไทยจะช่วยหนุนเศรษฐกิจได้ในปีนี้ ซึ่งจะช่วยชดเชยผลกระทบจากปัญหาเงินทุนไหลออกและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
ปัญหาเงินเฟ้อยังไม่น่าเป็นห่วง นักเศรษฐศาสตร์ของเอชเอสบีซี เชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังคงทรงตัวอยู่ได้ในปีนี้โดยได้รับแรงหนุนจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ร้อยละ 4.2 ในไตรมาสที่ 2 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราเติบโตที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ดีที่สุดของนักวิเคราะห์ แต่แนวโน้มของเศรษฐกิจยังไม่แน่นอน และเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะตัดสินใจใช้นโยบายโดยคำนึงถึงตัวเลขต่างๆที่จะออกมาในระยะข้างหน้าท่ามกลางความกังวลต่อสถานการณ์ในยุโรป
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ สูงกว่าตัวเลขจริงเล็กน้อยหลังจากผลประกอบการในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 ออกมาดีมาก ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนไทยในไตรมาสที่ 2 พบว่า มีบริษัทที่มีผลประกอบการต่ำกว่าคาดอยู่ร้อยละ 43 และมีบริษัทที่มีผลประกอบการเกินคาดเพียงร้อยละ 14 เท่านั้น
น่าแปลกใจว่านักวิเคราะห์ไทยต่างพากันปรับลดตัวเลขคาดการณ์ลง แต่เราไม่เชื่อว่าจะปรับลดลงมาก ส่วนใหญ่เชื่อว่าบริษัทไทยจะสามารถเติบโตยอดขายได้ในระดับใกล้เคียงกับตัวเลขการขยายตัวเบื้องต้นของจีดีพี ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่น่าเชื่อถือ ในขณะนี้ความเห็นส่วนใหญ่คาดว่าตัวเลขยอดขายในปีนี้จะขยายตัวที่ร้อยละ 10.3 และตัวเลข EBIDA จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 และส่วนต่างของผลกำไรของบริษัทต่างๆที่ลดลงคงเป็นผลมาจากแรงกดดันด้านค่าจ้างแรงงาน และการขยายตัวของกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของปีนี้คาดไว้ที่ร้อยละ 17.2
ราคาหุ้นไทยขณะนี้ซื้อขายกันที่ประมาณ 11 เท่าของตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการ ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีต และใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย (ที่ 10.9 เท่า) ทั้งที่บริษัทไทยจะมีอัตราการขยายตัวของผลประกอบการที่ดีกว่า (ร้อยละ 17.2 เทียบกับร้อยละ 11.4)
ในภาพรวม ปีนี้นักลงทุนต่างชาติได้ซื้อหุ้นไทยเป็นมูลค่ารวม 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ได้ทยอยขายออกไป 700 ล้านเหรียญตั้งแต่เดือนพฤษภาคม เราคาดว่าจะมีกองทุนรวมต่างๆ เข้ามาซื้อหุ้นไทยเพิ่มขึ้นในไตรมาสถัด ๆ ไป เนื่องจากจำนวนหุ้นไทยที่มีอยู่ในพอร์ตขณะนี้ยังต่ำกว่าค่ามาตรฐานของน้ำหนักลงทุนที่ให้กับประเทศไทย
ถ้าพิจารณาในด้านอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) พบว่า หุ้นในหมวดสินค้าปลีกที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และสินค้าฟุ่มเฟือย ให้ผลตอบแทนดีที่สุด สัดส่วนของราคาต่อหุ้น (price/book value) เมื่อเทียบกับอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) สะท้อนว่าราคาหุ้นในกลุ่มธุรกิจเหล่านี้ยังไม่แพงเกินไป
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ วรนันท์ สุทธปรีดา, สาวิตรี หมวดเมือง โทรศัพท์ 0-2614-4609, 0-2614-4606-กภ-
ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย ได้รับการยกย่องให้เป็น "ธนาคารเพื่อการค้าระหว่างประเทศยอดเยี่ยมของประเทศไทย" หรือ Best Trade Finance Bank พร้อมรั้งตำแหน่งผู้นำด้านการให้บริการลูกค้า ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ และผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อการค้าระหว่างประเทศ จากผลสำรวจ Euromoney Trade Finance Survey 2025 (ยูโรมันนี่ เทรด ไฟแนนซ์ เซอร์เวย์ 2025) ซึ่งมีผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 13,000 ราย จากธุรกิจในกว่า 100 ประเทศและเขตแดนทั่วโลก ธนาคารเอชเอสบีซี ยังได้รับการโหวตให้เป็น "ธนาคารเพื่อการค้าระหว่างประเทศยอดเยี่ยมของโลก"
การอนุมัติสินเชื่อในครั้งนี้อยู่ภายใต้กองทุน "ASEAN Growth Fund" ของ HSBC ซึ่งเป็นเม็ดเงินรวมกว่า 3.4 พันล้านบาท ตั้งแต่การเริ่มเป็นพันธมิตรกับ Funding Societies ...