ผลการศึกษาใหม่เผยแนวทางจัดการกับโรคไม่ติดต่อในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

เจนีวา--4 ก.พ.--พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์


- รายงานของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ ระบุถึงช่องว่างในระบบการวิจัย นโยบาย และวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับโรคไม่ติดต่อ

- ในการเสนอวิธีปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมและทางออกที่ยั่งยืนนั้น บรรดาผู้เชี่ยวชาญระบุว่าความร่วมมือระหว่างหลายภาคส่วนเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง

- โครงการวิจัยอิสระหลายโครงการที่เกิดจากกรอบปฏิบัติการว่าด้วยโรคไม่ติดต่อของ IFPMA มุ่งเน้นไปที่การพัฒนานวัตกรรม การเข้าถึงและจ่ายค่ารักษาได้ การป้องกันและให้ความรู้ด้านสุขภาพ รวมถึงการสร้างความร่วมมือ

วันนี้ สถาบันเศรษฐศาสตร์ประยุกต์ สุขภาพโลก และองค์กรธุรกิจศึกษา (Institute for Applied Economics, Global Health and the Study of Business Enterprise) แห่งมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ ได้เผยแพร่ชุดนโยบายซึ่งแนะนำวิธีปฏิบัติเพื่อยกระดับนโยบาย การวิจัย และที่สำคัญที่สุดคือการรักษาโรคไม่ติดต่อ การศึกษาครั้งนี้กำกับดูแลโดยสมาพันธ์นานาชาติของสมาคมและผู้ผลิตเภสัชภัณฑ์ (IFPMA)

โรคไม่ติดต่อ 4 ประเภทหลัก ได้แก่ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง โรคปอดเรื้อรัง และโรคเบาหวาน คร่าชีวิตประชากร 3 ใน 5 ของประชากรทั้งหมดทั่วโลก และเกือบ 80% ของการเสียชีวิตเพราะโรคไม่ติดต่อเกิดขึ้นในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง

ด้วยอิทธิพลจากการประชุมระดับสูงขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อในปี 2554 คณะทำงานที่ประกอบด้วยนักวิชาการชั้นนำหลายท่าน[1] ได้สรุปแนวทางในหัวข้อ “การจัดการกับช่องว่างในนโยบายและการวิจัยโรคไม่ติดต่อทั่วโลก” ซึ่งเสนอแนวปฏิบัติที่สำคัญ 5 ประการให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจได้พิจารณา ดังนี้ 1) การเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับห่วงโซ่อุปทาน 2) การเร่งสร้างความสอดคล้องด้านกฎระเบียบ 3) การให้ความรู้เรื่องเอชไอวี/เอดส์ เพื่อยกระดับการเข้าถึงการรักษา 4) การปรับโครงสร้างการรักษาขั้นพื้นฐาน และ 5) การส่งเสริมการทำงานร่วมกันในหลายภาคส่วน

“เราใช้แนวทางในปฏิญญาทางการเมืองว่าด้วยโรคไม่ติดต่อที่เสนอโดยประเทศสมาชิกยูเอ็นเป็นจุดเริ่มต้นของการลงมือปฏิบัติ” Sir George Alleyne อดีตผู้อำนวยการองค์การอนามัยภูมิภาคอเมริกา (PAHO) และหนึ่งในผู้เขียนแนวทางข้างต้น กล่าว “งานของเราซึ่งอ้างอิงจากแนวทางนี้จะช่วยปูทางสู่ผลลัพธ์ทางสุขภาพที่ดีขึ้น ผ่านการสร้างความร่วมมือในหลายภาคส่วนและระหว่างภาคส่วนต่างๆ”

Eduardo Pisani ผู้อำนวยการทั่วไปของ IFPMA กล่าวว่า “อุตสาหกรรมเภสัชกรรมที่ใช้การวิจัยเป็นฐานกำหนดแนวทางนี้เพื่อสร้างแนวคิดต่างๆ ซึ่งเราหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการหารือขององค์การอนามัยโลก (WHO) และจะเป็นการเปิดทางให้อุตสาหกรรมของเราพร้อมที่สุดสำหรับการรับบทบาทร่วมกับผู้อื่นที่มีส่วนเกี่ยวข้อง”

สามารถดูนโยบายของจอห์น ฮอปกินส์ ได้ที่

http://www.ifpma.org/fileadmin/content/Publication/2013/Johns_Hopkins_Addressing_the_Gaps_in_Global_Policy_and_Research_for_NCDs.pdf

หมายเหตุ

1. ผู้เขียนประกอบด้วย Brian White-Guay, Lisa Smith, PrashantYadav, SoerenMattke, Margaret Kruk, Felicia Knaul, Gustavo Nigenda, Sir George Alleyne และ SaniaNishtar โดยมี Jeffrey L.Sturchio และ Louis Galambos เป็นบรรณาธิการ

เกี่ยวกับ IFPMA

IFPMA เป็นตัวแทนของสมาคมและบริษัทเภสัชกรรมที่ใช้การวิจัยเป็นฐานทั่วโลก อุตสาหกรรมเภสัชกรรมที่ใช้การวิจัยเป็นฐานมีพนักงานรวม 1.3 ล้านคนซึ่งทำหน้าที่วิจัย พัฒนา รวมถึงจัดหายาและวัคซีนที่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยทั่วโลก IFPMA ซึ่งอยู่ในนครเจนีวา มีความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับองค์การสหประชาชาติ และนำเสนอความรู้ความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเพื่อช่วยให้ชุมชนสุขภาพทั่วโลกได้พบทางออกที่จะช่วยยกระดับสุขภาพทั่วโลก

แหล่งข่าว: สมาพันธ์นานาชาติของสมาคมและผู้ผลิตเภสัชภัณฑ์ (IFPMA)

-ปม-

ข่าวสถาบันเศรษฐศาสตร์+เศรษฐศาสตร์วันนี้

สถาบันเศรษฐศาสตร์และสันติภาพเผย ความเสี่ยงด้านความขัดแย้งเพิ่มขึ้นท่ามกลางการขาดแคลนอาหารและน้ำและแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น

สถาบันเศรษฐศาสตร์และสันติภาพ (IEP) เปิดเผยรายงานภัยคุกคามทางระบบนิเวศ (Ecological Threat Report) ประจำปี การค้นพบที่สำคัญ ภัยคุกคามทางระบบนิเวศ เช่น การเติบโตของประชากรอย่างรวดเร็ว ความเสี่ยงด้านแหล่งน้ำ และความไม่มั่นคงด้านอาหารจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ก่อให้เกิดการพลัดถิ่นครั้งใหญ่และความขัดแย้ง หากความไม่มั่นคงด้านอาหารเพิ่มขึ้น 25% ความเสี่ยงด้านความขัดแย้งก็จะเพิ่มขึ้น 36% ในทำนองเดียวกัน หากจำนวนคนที่ไม่สามารถหาน้ำสะอาดดื่มได้เพิ่มขึ้น 25% โอกาสที่จะ

ดัชนีสันติภาพโลกเผย การเสียชีวิตจากความขัดแย้งแตะระดับสูงสุดของศตวรรษนี้ ส่งผลให้ความสงบสุขของโลกลดลง

วันนี้คือวันเปิดเผยรายงานดัชนีสันติภาพโลก (Global Peace Index) หรือ GPI ฉบับที่ 17 จาก สถาบันเศรษฐศาสตร์และสันติภาพ (Institute for Economics & Peace) หรือ IEP ผลลัพธ์สำคัญ การเสียชีวิตจากความขัด...

สถาบันเศรษฐศาสตร์และสันติภาพเผยประชากรกว่า 750 ล้านคนทั่วโลกได้รับผลกระทบจากการขาดสารอาหาร โดยคาดว่าสงครามรัสเซีย-ยูเครน และภาวะเงินเฟ้อจะทำให้วิกฤตินี้ย่ำแย่ลง

สถาบันเศรษฐศาสตร์และสันติภาพ (IEP) เปิดเผยรายงานภัยคุกคามทางระบบนิเวศ (Ecological Threat Report หรือ ETR) ประจำปี ครอบคลุมงานวิจัยฉบับพิ...

ความสงบสุขทั่วโลกต่ำสุดในรอบ 15 ปี เนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจหลังโควิดและความขัดแย้งในยูเครน

สถาบันเศรษฐศาสตร์และสันติภาพ (Institute for Economics & Peace หรือ IEP) ซึ่งเป็นหน่วยงานมันสมองระดับโลก เผยแพร่รายงานดัชนีสันติภาพโลก (Global Peace Index หรือ GPI) ฉบับที่ 16 ผลการค้นพบที่สำคัญ ยอดผู้...

สถาบันเศรษฐศาสตร์และสันติภาพ (IEP) เผยโลกสงบสุขน้อยลงเนื่องจากโควิด-19 ทำให้ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองและความไม่สงบทางสังคมเพิ่มมากขึ้น

สถาบันเศรษฐศาสตร์และสันติภาพ (Institute for Economics & Peace: IEP) ซึ่งเป็นหน่วยงานมันสมองระดับโลก ได้เผยแพร่รายงานดัชนีสันติภาพโลก (Global Peace Index: GPI)...

ผลกระทบเงินหยวนอ่อนค่าและการกลับตัวทางนโยบายเศรษฐกิจของจีน

ผลกระทบเงินหยวนอ่อนค่าและการกลับตัวทางนโยบายเศรษฐกิจของจีนรับมือสงครามการค้าส่งผลอย่างมีนัยยสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย เสนอให้มียุทธศาสตร์ทางการค้าเพื่อรับมือความท้าทายดังกล่าว 15.00 น. 12 ส.ค. พ.ศ. 2562 ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ...

เสนอปฏิรูประบบภาษีลดภาระชนชั้นกลางและคนจน

นโยบายต่างๆของรัฐบาลใหม่ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก รัฐจำเป็นต้องขยายฐานภาษีและเก็บภาษีเพิ่มเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาวิกฤติฐานะทางการคลัง เสนอเก็บภาษีจากฐานทรัพย์สิน เพื่อไม่กระทบต่อกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและชนชั้นกลางแบกรับภาระภาษีมากอยู่แล้วเมื่อเทียบสัดส่วนรายได้...