แอสเซท พลัส เสนอขาย 2 กองทุน ASP-PRIME 3 เน้นลงทุนในหุ้นไทย และ ASP-STARS 3 เน้นลงทุนในหุ้นต่างประเทศ เสนอขาย 19-28/29 พ.ย. นี้

27 Nov 2012

กรุงเทพฯ--27 พ.ย.--บลจ.แอสเซท พลัส

บลจ.แอสเซท พลัส เล็งเห็นโอกาสสร้างกำไรจากการลงทุนในหุ้น เปิดตัวกองทุนเปิดแอสเซทพลัสไพร์ม 3 (ASP-PRIME 3) เน้นลงทุนในหุ้นไทย เป้าหมายผลตอบแทน 9% ใน 1 ปี เสนอขาย วันนี้-28 พ.ย. และกองทุนเปิดแอสเซทพลัสสตาร์ 3 (ASP-STARS 3) เน้นลงทุนในหุ้นต่างประเทศ โอกาสรับผลตอบแทนต่อเนื่องตลอด 1 ปี เมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นทุก ๆ 5% จากมูลค่าหน่วยลงทุนเริ่มต้น เสนอขาย วันนี้-29 พ.ย.นี้

นางลดาวรรณ เจริญรัชต์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จำกัด กล่าวถึงมุมมองของตลาดหุ้นไทยว่า นักวิเคราะห์จากหลายสำนักยังคาดการณ์ว่า SET Index อาจปรับฐานได้จากมุมมองการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง รวมถึงความกังวลในเรื่องข้อจำกัดการคลังในสหรัฐฯ (US fiscal cliff) โดยนักวิเคราะห์ต่าง ๆ ประเมินว่า นักลงทุนอาจมีการขายทำกำไรบางส่วนก่อนที่ดัชนีจะเคลื่อนตัวออกด้านข้าง (Sideway) ในกรอบ 1,265 - 1,320 จุด ในลักษณะสร้างฐานเพื่อรอความชัดเจนจากปัจจัยต่าง ๆ และเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ลงทุน ซึ่งบริษัทฯ ประเมินว่า ถือเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าเลือกสะสมหุ้นดีในราคาที่เหมาะสม โดยประเมินระดับดัชนีที่เหมาะสมในการเข้าลงทุนที่ระดับ 1,280 จุด เนื่องจาก คาดว่า ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนปี 2555 จะขยายตัวอยู่ประมาณ 20% และ 15% ในปี 2556 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตของการใช้จ่ายภายในประเทศ และนโยบายการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับอัตราการจ่ายเงินปันผลยังอยู่ในระดับสูงกว่า 4% และแนวโน้มการลงทุนในภูมิภาคเอเชียรวมถึงประเทศไทยอยู่ในทิศทางทีดี จากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ ซึ่งจะช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้

ในด้านตลาดหุ้นต่างประเทศ ประเมินว่าในปี 2556 เป็นโอกาสที่ดีในการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ โดยนักวิเคราะห์ คาดว่า ดัชนี S&P500 จะปรับฐานลงอยู่ที่ 1,250 จุด ในปลายปีนี้ จากแรงขายระยะสั้น ในช่วงที่ตลาดรอดูความชัดเจนเกี่ยวกับปัญหา US fiscal cliff ดังนั้น จึงเป็นโอกาสที่ดีในการหาจังหวะเข้าลงทุนในหุ้นที่มีธุรกิจระดับโลก และมีศักยภาพในการทำกำไร โดยบริษัทฯ ให้ความสนใจ ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง จากแนวทางปฏิรูปเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ที่จะสร้างเสถียรภาพทางการเงิน และการคลังให้กับจีนมากขึ้น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวจากมาตรการ QE 3 ที่ผลักดันธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และการจ้างงาน ตลาดหุ้นยุโรป ซึ่งการชะลอตัวของยุโรป ส่งผลบวกต่อธุรกิจวาณิชธนกิจจากการควบรวมกิจการ และการปรับโครงสร้างทางการเงิน และตลาดเอเชีย ที่ยังสามารถสร้างโอกาสในธุรกิจ และมีแนวโน้มเติบโตได้ดีในอนาคต

นางลดาวรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ จึงเล็งเห็นว่า ช่วงนี้เป็นจังหวะเหมาะที่จะเข้าลงทุนในหลักทรัพย์เป้าหมายที่มีระดับราคาน่าลงทุน และมีเป้าหมายเพื่อสร้างผลตอบแทนจากการเน้นลงทุนหุ้นรายตัว โดยไม่เทียบกับการปรับตัวของตลาด บริษัทฯ จึงเปิดเสนอขาย 2 กองทุน เพื่อสนองตอบความต้องการของผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นไทย และหุ้นต่างประเทศ ได้แก่ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 28 พฤศจิกายน บริษัทฯ เสนอขาย กองทุนเปิดแอสเซทพลัสไพร์ม 3 (ASP-PRIME 3) เป็นกองทุนผสมที่สามารถปรับสัดส่วนการลงทุนในหุ้นได้ 0-100% ที่เน้นลงทุนในหุ้นไทย และมีเป้าหมายสร้างผลตอบแทน 9% ใน 1 ปี โดยกองทุน ASP-PRIME 3 จะเน้นลงทุนในหุ้นขนาดกลาง และขนาดเล็ก ซึ่งคาดว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดี โดยในช่วง 6 – 12 เดือน ข้างหน้า โดยกลุ่มธุรกิจที่บริษัทฯ ให้ความสนใจให้น้ำหนักการลงทุน คือ หุ้นกลุ่มสื่อสาร หุ้นอสังหาริมทรัพย์ และหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ต่อเนื่อง รวมถึงหุ้นที่ผลประกอบการจะมีการฟื้นตัว ทั้งนี้ กองทุน ASP-PRIME 3 จะเพิ่มโอกาสให้ผู้ลงทุนได้รับกระแสเงินสดใช้ระหว่างทาง ด้วยการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ ครั้งแรก เมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนผ่าน 10.50 บาท และรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติทั้งหมด และเลิกกองทุน เมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นผ่าน 10.90 บาท หรือ เมื่อครบ 1 ปี แล้วแต่เหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นก่อน

และตั้งแต่วันนี้ ถึง 29 พฤศจิกายน บริษัทฯ เสนอขาย กองทุนเปิดแอสเซทพลัสสตาร์ 3 (ASP-STARS 3) เป็นกองทุนผสมที่สามารถปรับสัดส่วนการลงทุนในหุ้นได้ 0-100% เน้นลงทุนในหุ้นต่างประเทศ และมีเป้าหมายในการสร้างผลตอบแทนต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 1 ปี โดยกองทุนจะทยอยรับซื้อคืนอัตโนมัติเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนปรับตัวขึ้นทุกๆ 5% จากมูลค่าหน่วยลงทุน 10 บาท (10.50, 11.00, 11.50....บาท)

กองทุน ASP-STARS 3 ผู้จัดการกองทุนจะบริหารพอร์ต และจับจังหวะการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทน โดยใช้หลักการเลือกตลาดที่จะเข้าลงทุน เลือกอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ และเลือกบริษัทที่แข็งแกร่ง โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นของประเทศที่เศรษฐกิจมีการฟื้นตัว ได้แก่ หุ้นจีน (ฮ่องกง H-Share) โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ชั้นนำ ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากแนวทางปฏิรูปเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ และธุรกิจประกันชีวิต ที่ได้รับอานิสงค์จากการยกระดับสวัสดิการภาคบังคับ หุ้นวาณิชธนกิจและสถาบันการเงินโลก ที่มีโอกาสเติบโตจากการฟื้นตัวของยุโรป หุ้นส่งออกยุโรป เช่น หุ้นในกลุ่มยานยนต์ ที่ได้รับผลดีจากค่าเงินยูโรที่อ่อนตัวลง และหุ้นคุณค่าระดับโลก ที่เป็นบริษัทที่มีฐานธุรกิจแข็งแกร่งสามารถทำกำไร และสร้างเม็ดเงินเพื่อการเติบโตในอนาคตได้

-กภ-

สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net