การผสมผสานที่โดดเด่นของสมรรถนะเครื่องยนต์และประสิทธิภาพที่เหนือชั้น

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

กรุงเทพฯ--12 มิ.ย.--Porsche Centre Bangkok PR

918 สไปเดอร์ (918 Spyder) คือรถที่ผสมผสานและรวบรวมแนวคิดของความเป็นปอร์เช่เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ทั้งเทคโนโลยีของรถแข่งกับความสามารถของการใช้งานในชีวีตประจำวัน อีกทั้งยังเต็มไปด้วยประสิทธิภาพของเครื่องยนต์กับบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงที่น้อยที่สุด งานของทีมพัฒนาคือการสร้างรถซูเปอร์สปอร์ตเครื่องยนต์ไฮบริดที่ทรงพละกำลังและเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพแห่งอนาคตนี้ขึ้นมา เริ่มต้นจากการร่างไอเดียลงบนกระดาษเพื่อให้ทีมงานสร้างแนวคิดที่ยอดเยี่ยมขึ้นมาให้เป็นจริง เครื่องยนต์ได้รับการออกแบบมาในรูปแบบการขับเคลื่อนด้วยระบบไฮบริด ดังนั้น 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) จึงกลายเป็นรถเครื่องยนต์ไฮบริดที่เหนือชั้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาประสิทธิภาพควบคู่ไปกับพลังเครื่องยนต์ที่เหนือชั้นไปพร้อมๆ กัน และนี่คือแนวคิดในการสร้างปอร์เช่ 911 รถสปอร์ตที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลกมากกว่า 50 ปี สรุปแล้ว 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) คือตัวแทนของรถสปอร์ตจากปอร์เช่สำหรับโลกแห่งอนาคตนั่นเอง 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) เผยให้เห็นถึงการเชื่อมโยงเข้าสู่มอเตอร์สปอร์ตในหลายๆ ทิศทาง ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ การพัฒนา การทำงานร่วมกันระหว่างวิศวกรที่สร้างรถแข่งปอร์เช่ และผู้เชี่ยวชาญในการผลิตรถเป็นต้น แนวคิดการพัฒนารถแข่งปอร์เช่สำหรับรายการการแข่งขัน Le Mans ในปี 2013 ถูกรวบรวมและบูรณาการในการสร้าง 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) แนวคิดโครงสร้างของ 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) ที่มาพร้อมกับตัวถังที่สมบูรณ์แบบ เครื่องยนต์ได้รับการพัฒนาให้ออกมาในรูปแบบ V8 และได้รับแรงบันดาลใจมาจากรถแข่ง LMP2 RS Spyder ของปอร์เช่ที่ประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่องในเรื่องของการใช้โครงสร้างของรถที่แข็งแกร่ง แต่ใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบา แรงบันดาลใจนี้จึงถูกมาใช้ในการ 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) ด้วยเช่นกัน ชิ้นส่วนของรถซูเปอร์สปอร์ตคันนี้มาจากโรงงานผลิตที่ได้รับอนุมัติให้เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนให้กับรถแข่งอีกด้วย การขับเคลื่อนของเครื่องยนต์ไฮบริด นำมาซึ่งประโยชน์ของความคล่องตัวในการขับขี่ แนวคิดสำคัญของ 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) คือการขับเคลื่อนโดยเครื่องยนต์ไฮบริดจากปอร์เช่ และเต็มไปด้วยความคล่องตัวสูงอย่างเต็มพิกัด ผู้ขับขี่สามารถสัมผัสถึงความโดดเด่นของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์เผาไหม้และมอเตอร์ไฟฟ้า (Electric motor) บนเพลาหลัง และมอเตอร์ไฟฟ้า (Electric motor) ตัวที่สองบนเพลาหน้า ซึ่งเป็นแนวคิดของเครื่องยนต์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในรถ 911 จีที 3 อาร์ ไฮบริด (GT3 R Hybrid) ไม่เพียงเท่านี้รถคันนี้ยังเสริมด้วยประสิทธิภาพในการแยกการควบคุมการขับเคลื่อนทางด้านหน้า ด้วยกลยุทธ์การขับเคลื่อนใหม่ที่ส่งผลให้รถมีความเร็วสูง และปลอดภัยเมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็ว กลยุทธ์การ “boost” เครื่องยนต์ได้ถูกนำมาใช้ในการจัดการพลังงานจากการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า เพื่อได้มาซึ่งอัตราเร่งที่ดีที่สุด และพละกำลังเครื่องยนต์แบบเต็มพิกัดของ 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) สามารถถูกใช้งานได้อย่างง่ายดายเพียงแค่กดคันเร่งลงอย่างเต็มที่นั่นเอง โดยรวมแล้ว 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) จะทำให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสถึงความเป็นมอเตอร์สปอร์ตและความคล่องตัวของรถที่เหนือชั้น 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) ได้สร้างสถิติใหม่ที่เหนือชั้นขึ้นมา ด้วยเวลารอบสนามแข่ง N?rburgring North Loop ต่ำอยู่เพียง 7:14 วินาทีเท่านั้น ซึ่งเป็นเวลารอบสนามที่ทำได้ระหว่างการทดสอบรถในเดือนกันยายนปี 2012 ที่ผ่านมา ถือได้ว่าเป็นเวลาหนึ่งปีก่อนที่สายการผลิตจะเริ่มต้นขึ้น ดังนั้น 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) แบบรถ Prototype นี้ถือว่าเป็นรถที่ทำเวลารอบสนามได้เร็วกว่าปอร์เช่ รุ่นคาร์เรร่า จีที (Carrera GT) ถึง 20 วินาทีเลยทีเดียว รถยนต์ไฮบริดแบบ plug-in คันนี้คือการผสมผสานประสิทธิภาพความเร็วและความคล่องตัวของรถดังเช่นรถแข่ง โดยมีความเร็วสูงสุดถึง 880 แรงม้า แต่มีอัตราการบริโภคเชื้อเพลิงที่ต่ำ โดยมีอัตราการบริโภคเชื้อเพลิงอยู่ที่ประมาณ 3 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าดียิ่งกว่ารถเล็กทั่วไปในปัจจุบันอีกด้วย สรุปแล้วรถคันนี้คือตัวแทนของการขับขี่ที่มอบความสนุกอย่างที่สุด และมาพร้อมกับการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงที่น้อยนิดนั่นเอง Carbon monocoque คือการรับประกันการออกแบบที่ใช้น้ำหนักเบาและมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) ใช้เทคโนโลยีชั้นนำที่ดีที่สุด และนำมาจากรถแข่งให้ได้มาซึ่งประสิทธิภาพของรถที่ดีที่สุด โครงสร้างของรถทำจากคาร์บอนไฟเบอร์แบบ carbon fibre reinforced polymer (CFRP) เพื่อความแข็งแกร่งเชิงบิดที่ดีเยี่ยม ชิ้นส่วนเพิ่มเติมได้รับการติดตั้งเพื่อรองรับแรงกระแทกทางด้านหน้าและด้านหลัง รวมไปถึงสามารถลดแรงจากการปะทะได้อีกด้วย น้ำหนักโดยรวมของรถหนักอยู่ที่ประมาณ 1,640 กิโลกรัม (“Weissach" package) ซึ่งถือว่าเป็นรถที่น้ำหนักน้อยมากสำหรับรถคลาสเดียวกัน ชิ้นส่วนของรถมีน้ำหนักกว่า 50 กิโลกรัม ได้รับการติดตั้งให้ต่ำและอยู่ตรงกลางมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ผลลัพธ์ที่ได้คือการกระจาย axle load dis-tribution ไปด้านหลัง 57% และด้านหน้าอยู่ที่ 43% ผสมผสานเข้ากับจุดศูนย์ถ่วงของรถที่ต่ำ ทำให้รถมีความคล่องตัวสูงในการขับเคลื่อน การติดตั้งแบตเตอรี่ให้อยู่ในตำแหน่งที่ต่ำและอยู่ตรงกลางทางด้านหลังคนขับ ส่งผลให้รถมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำมากยิ่งขึ้น และทำให้ได้มาซึ่งอุณหภูมิที่เหมาะสมและทำให้แบตเตอรี่ส่งพลังได้ดีอีกด้วย ตัวถังที่มาพร้อมกับสายพันธุ์ความเป็นรถแข่ง และมาพร้อมกับระบบ Rear-axle steering ตัวถังแบบ multi-link chassis ของปอร์เช่ 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการออกแบบที่ใช้ในรถมอเตอร์สปอร์ตทำงานร่วมกับระบบที่ได้สร้างความสมบูรณ์แบบให้กับรถมากขึ้น อาทิเช่น ระบบการจัดการช่วงล่างอย่าง PASM adaptive shock-absorber system และระบบ rear-axle steering พื้นฐานการทำงานคือการทำงานร่วมกันระหว่างการปรับเปลี่ยน electro-mechanical adjustment system ที่เพลาหลังแต่ละข้าง การปรับเปลี่ยนมีความเร็วสูงและทำการปรับเปลี่ยนองศาบังคับเลี้ยวกว่า 3 องศาในแต่ละทิศทาง เพลาหลังสามารถหมุนไปในทิศทางเดียวกันกับล้อหน้าหรือไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามได้เมื่ออยู่ในความเร็วต่ำ ระบบจะทำการหมุนล้อหลังไปในทิศทางตรงกันข้ามกับล้อหน้า เพื่อให้การเลี้ยวนั้นทำได้รวดเร็ว และแม่นยำยิ่งขึ้น รวมไปถึงการลดระดับของวงเลี้ยวให้น้อยลงเมื่ออยู่ในความเร็วสูง ระบบจะทำการหมุนล้อหลังไปในทิศทางเดียวกันกับล้อหน้า เพื่อรักษาความเสถียรของรถทางด้านหลังเมื่อทำการเปลี่ยช่องวิ่งด้วยความรวดเร็ว ผลลัพธ์ที่ได้คือการรักษาเสถียรภาพที่มีความมั่นคงและปลอดภัยสูงสุดนั่นเอง ระบบ Porsche Active Aerodynamic (PAA) เพื่อโหมดการขับขี่ที่แตกต่าง ระบบ Porsche Active Aerodynamic (PAA) คือระบบที่ใช้ปรับเปลี่ยนชิ้นส่วนให้อยู่ตามหลักอากาศพลศาสตร์ เพื่อให้แน่ใจว่ารถมีความสมดุลที่สมบูรณ์แบบที่สุด โดยโหมดการปรับเปลี่ยนนี้จะทำการปรับเปลี่ยนอัตโนมัติถึง 3 โหมดด้วยกัน เพื่อให้ได้มาซึ่งแรงกดบนตัวรถที่สูงสุดและเหมาะสมกับการขับขี่ด้วยระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริด เมื่ออยู่ในโหมด “Race” ปีกรถที่พับเก็บได้ทางด้านหลังจะถูกตั้งค่าให้อยู่ในองศาที่สูงชัน เพื่อการสร้างแรงกดบนตัวรถที่มากขึ้นทางด้านหลัง สปอยเลอร์ที่อยู่ระหว่างปีกทั้งสองทางด้านหลังได้รับการขยายออกมาด้วย ไม่เพียงเท่านี้ผนังอากาศทางด้านใต้รถจะเปิดทางด้านเพลาหน้า และทำการส่งอากาศเข้าสู่ช่องทางการกระจายอากาศของโครงสร้างใต้ท้องรถ เพื่อให้ได้มาซึ่ง “ground effect" ทางด้านเพลาหน้าอีกด้วย เมื่ออยู่ในโหมด “Sport" ระบบการควบคุมตามหลักอากาศพลศาสตร์ (aerodynamic control system) จะทำการลดองศาการปะทะที่ปีกหลัง เพื่อให้ได้มาซึ่งความเร็วที่มากขึ้น สปอยเลอร์ยังคงทำการขยายอย่างต่อเนื่อง แผ่นป้องกัน Aerodynamic flaps ที่อยู่ใต้ท้องรถจะปิดเพื่อลดแรงกระชากและเพิ่มความเร็วของรถ และเมื่ออยู่ในโหมด “E” ระบบจะทำการควบคุมทำให้มั่นใจว่าแรงกระชากตามอากาศพลศาสตร์นั้นต่ำ ปีกและสปอยเลอร์หลังจะถูกพับเก็บ และแผ่นป้องกันลมใต้ท้องรถจะถูกปิดไว้ด้วยเช่นกัน ช่องทางอากาศเข้าของลิ้นไอดีสามารถปรับเปลี่ยนได้และถูกติดตั้งอยู่ใต้ไฟหน้าคืออีกหนึ่งชิ้นส่วนของระบบ adaptive aerodynamic system เมื่อรถหยุดนิ่งและอยู่ในโหมดขับขี่แบบ “Race" และ “Sport" ช่องทางอากาศเข้านี้จะเปิดเพื่อทำการดักอากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้มากขึ้น เมื่ออยู่ในโหมด “E-Power" และโหมด “Hybrid” ช่องทางอากาศเข้านี้จะปิดทันทีหลังจากรถเคลื่อนตัวเพื่อลดแรงต้านอากาศให้น้อยที่สุด และจะไม่เปิดจนกว่ารถจะวิ่งเข้าสู่ความเร็วประมาณ 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือเมื่อรถต้องการความเย็นของอากาศมากขึ้นนั่นเอง การเตรียมความพร้อมในการแข่ง: 5 โหมดสำหรับมอเตอร์ 3 ตัว แนวคิดที่สำคัญของ 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) คือการกระจายกำลังเครื่องยนต์เข้าสู่หน่วยกำลังเครื่องยนต์ 3 หน่วย และการทำงานร่วมกันจะถูกควบคุมโดยระบบการจัดการแบบอัจฉริยะอย่าง intelligent management system ผู้ทำการพัฒนาปอร์เช่ได้ทำการพัฒนาโหมดการทำงานขึ้นมา 5 โหมดและสามารถเปิดการใช้งานผ่าน “map switch" บนพวงมาลัย เหมือนกับรถมอเตอร์สปอร์ต และวิธีการพื้นฐานก่อนการเลือกใช้งานโหมดต่างๆ นั้น 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) จะทำการเลือกและทำงาน รวมไปถึงกลยุทธ์การ Boost เครื่องยนต์ที่เหมาะสมต่อการขับขี่มากที่สุด ทำให้ผู้ขับขี่สามารถมุ่งความสนใจเข้าสู่ท้องถนนได้อย่างเต็มที่ เงียบและสง่างาม: “E-Power" เมื่อสตาร์ทรถโหมด “E-Power" จะถูกเรียกใช้งานจนกว่าแบตเตอรี่จะได้รับการชาร์จอย่างเหมาะสม และหากแบตเตอรี่ได้รับการชาร์จแล้วนั้น 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) สามารถวิ่งได้ไกลถึง 30 กิโลเมตร โดยมีอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำได้ภายในเวลาเพียงแค่ 7 วินาที และสามารถเข้าสู่ความเร็วสูงสุดที่ 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยใช้พลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว เมื่ออยู่ในโหมดนี้เครื่องยนต์แบบเผาไหม้จะถูกใช้เมื่อต้องการเท่านั้น ถ้าหากแบตเตอรี่ที่ได้รับการชาร์จนั้นต่ำกว่าที่ตั้งค่าไว้ รถจะทำการปรับเข้าสู่โหมดไฮบริดโดยอัตโนมัติ ประหยัดและสะดวกสบาย: “Hybrid" เมื่ออยู่ในโหมด “Hybrid" มอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์เผาไหม้จะทำงานสลับกันไปเพื่อให้ได้มาซึ่งการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างเต็มประสิทธิภาพ การปรับเปลี่ยนองค์ประกอบและฟังก์ชั่นในการขับขี่จะเกิดขึ้นตามสถานการณ์การขับขี่ในขณะนั้น โหมด “Hybrid" จะเหมาะสำหรับการขับขี่ที่ต้องการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นหลักนั่นเอง สปอร์ตและคล่องตัว: “Sport Hybrid" เมื่อต้องการความเร็วและความคล่องตัวมากขึ้นใน 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) ให้ทำการเลือกโหมด “Sport Hybrid" เพื่อพละกำลังเครื่องยนต์ที่มากขึ้น เครื่องยนต์เผาไหม้จะทำงานอย่างต่อเนื่องและเป็นแหล่งพลังงานของเครื่องยนต์ ไม่เพียงเท่านี้มอเตอร์ไฟฟ้ายังช่วยสนับสนุนในรูปแบบ electric boosting การขับขี่ในโหมดนี้จะเน้นในเรื่องของการขับขี่ที่มีประสิทธิภาพแบบสปอร์ตขณะความเร็วที่สูง เพื่อรอบสนามที่เร็วที่สุด: “Race Hybrid" “Race Hybrid" คือโหมดที่ให้ประสิทธิภาพมากที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในรูปแบบการขับขี่แบบสปอร์ต เครื่องยนต์เผาไหม้จะถูกใช้งาน และทำการชาร์จแบตเตอรี่ มอเตอร์ไฟฟ้าให้การสนับสนุนพละกำลังเครื่องยนต์มากขึ้นในรูปแบบ boosting โปรแกรมการเปลี่ยนเกียร์ของระบบเกียร์อัตโนมัติ PDK ได้รับการตั้งค่าให้มีความคล่องตัวและสปอร์ตมากยิ่งขึ้น มอเตอร์ไฟฟ้าจะถูกใช้เพื่อให้ได้พละกำลังเครื่องยนต์ที่ถูกขับออกมาสูงสุดและเพื่อให้ได้มาซึ่งประสิทธิภาพการขับขี่บนสนามแข่งที่มากที่สุดเท่าที่จะทำได้อีกด้วย ในโหมดนี้สถานะของการชาร์จแบตเตอรี่จะไม่คงที่ ค่อนข้างจะมีความผันผวน แตกต่างกับโหมด Sport Hybrid ที่มอเตอร์ไฟฟ้าจะทำงานเพื่อให้ได้แรงขับของกำลังเครื่องยนต์ที่มากที่สุดในระยะเวลาสั้นเพื่อการ Boosting ที่ดียิ่งขึ้น กำลังเครื่องยนต์ที่ถูกขับออกมาจะมีความสมดุลโดยเครื่องยนต์เผาไหม้ที่ทำการชาร์จแบตเตอรี่ได้มากยิ่งขึ้น พลังงานไฟฟ้ายังพร้อมให้เรียกใช้งานในการวิ่งรอบสนามที่รวดเร็วอีกด้วย เพื่อตำแหน่งบนโพเดี่ยม: “Hot Lap" ปุ่ม “Hot Lap" ใน Map switch คือการปล่อยพละกำลังเครื่องยนต์สูงสุดที่ถูกเก็บไว้ของ 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) ให้ออกมา และสามารถใช้งานได้เมื่ออยู่ในโหมด “Race Hybrid" โหมดนี้จะเหมือนกับโหมด qualification mode ที่จะผลักดันให้แบตเตอรี่ส่งกำลังขับสูงสุดออกมาใช้ในรอบสนามที่รวดเร็วไม่กี่สนาม โดยในโหมดนี้จะใช้พลังงานที่มีอยู่ในแบตเตอรี่ทั้งหมด แรงขับหลัก: เครื่องยนต์ 8 สูบของรถแข่ง แหล่งพละกำลังเครื่องยนต์หลักได้มาจากเครื่องยนต์ขนาด 4.6 ลิตร 8 สูบ ที่มีกำลังเครื่องยนต์สูงสุดถึง 613 แรงม้า เครื่องยนต์จะทำการส่งมอบพละกำลังออกมาโดยตรงและได้รับแรงบันดาลใจในการพัฒนามาจากหน่วยกำลังของเครื่องยนต์ที่ใช้ในรุ่น อาร์เอส สไปเดอร์ (RS Spyder) และสามารถทำความเร็วสูงสุดถึง 9,150 รอบต่อนาทีเลยทีเดียว หน่วยกำลังของเครื่องยนต์มีคุณลักษณะเด่นด้วยระบบการหล่อลื่นแบบอ่างแห้ง (dry-sump lubrication) คือการแยกถังน้ำมันและการสกัดน้ำมันออกจากกัน เพื่อลดน้ำหนักรถให้มากขึ้น ส่วนประกอบของรถอาทิเช่น ถังน้ำมัน กล่องตัวกรองอากาศ ได้ถูกปรับแต่งเข้ากับ subframe และตัวบรรจุอากาศนั้นทำจากคาร์บอนไฟเบอร์แบบ carbon fibre reinforced polymer ไม่เพียงเท่านี้รถคันนี้ยังมีองค์ประกอบอีกหลายชิ้นส่วนที่ได้รับการออกแบบโดยเน้นน้ำหนักเบา อาทิเช่น ก้านสูบแบบไทเทเนี่ยม อ่างน้ำมันเครื่องและหัวสูบที่ได้รับการหล่อด้วยแรงดันต่ำ เพลาข้อเหวี่ยงที่ทำจากเหล็กน้ำหนักเบา เป็นต้น เครื่องยนต์ V8 ที่ได้รับการพัฒนาให้มีความเหนือชั้นนี้ได้กำจัดระบบช่วยเหลือต่างๆ ที่ไม่จำเป็นออกไป ไม่ว่าจะเป็นการขับด้วยสายพานซึ่งไม่มีในเครื่องยนต์นี้อีกแล้ว ส่งผลให้เครื่องยนต์มีความกระทัดรัดมากยิ่งขึ้น ด้วยน้ำหนักที่เบาและประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ที่เหนือชั้นนี้ ส่งผลให้กำลังเครื่องยนต์ต่อลิตรสูงถึงประมาณ 132 แรงม้าต่อลิตร ซึ่งถือได้ว่าเป็นกำลังขับของเครื่องยนต์ต่อลิตรที่สูงที่สุดจากปอร์เช่ โดยในรุ่นคาร์เรร่า จีที นั้นอยู่ที่ 106 แรงม้าต่อลิตร การออกแบบที่เน้นตำนานความเป็นรถแข่งที่โดดเด่น: ปลายท่อทางด้านบน ไม่เพียงแค่เครื่องยนต์ของ 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) ที่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพเท่านั้น เสียงที่ถูกส่งออกมาต้องสร้างความตื่นเต้นและความสุนทรีย์ทางอารมณ์ได้อีกด้วย และปลายท่อที่ได้ประทับอยู่ด้านบนของตัวรถนั้นคืออีกองค์ประกอบแรกที่สร้างเสียงที่ทรงพลังของรถคันนี้ให้ถูกส่งออกมา ปลายท่อถูกติดตั้งอยู่เหนือเครื่องยนต์ทางด้านหลังรถ และไม่มีรถในสายการผลิตคันไหนที่ใช้วิธีการนี้ การติดตั้งปลายท่อให้อยู่ด้านบนของตัวรถ ส่งผลให้รถได้รับประโยชน์ที่ยอดเยี่ยมจากการขจัดความร้อน เพราะก๊าซไอเสียจะถูกปล่อยออกมาผ่านช่องทางที่สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อีกทั้งแรงดันของก๊าซไอเสียนั้นยังคงอยู่ในระดับต่ำ การออกแบบในรูปแบบนี้ได้ใช้แนวคิดช่องทางอุณหพลศาสตร์ของอากาศแบบใหม่ ด้วยเครื่องยนต์ HIS ทำให้ข้างที่ร้อนนั้นติดตั้งอยู่ภายในลูกสูบ V และช่องท่อไอเสียอยู่ด้านนอก อีกหนึ่งคุณลักษณะที่เป็นประโยชน์ต่อรถคือห้องเครื่องยนต์จะคงความเย็นได้มากขึ้น และเป็นผลดีต่อแบตเตอรี่แบบ lithium-ion traction battery ทำให้รถมีประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมที่อุณหภูมิระหว่าง 20-40 องศาเซลเซียส อีกความหมายหนึ่งคือพลังงานที่ใช้น้อยลงในการทำการหล่อเย็นแบตเตอรี่นั่นเอง ทำงานควบคู่กันในระบบขับเคลื่อน: โมดูลไฮบริด 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) ได้รับการออกแบบให้มีเครื่องยนต์แบบไฮบริดแบบ Parallel hybrid เหมือนที่ใช้กันอยู่ในรุ่นไฮบริดของปอร์เช่ในปัจจุบัน ทำให้เครื่องยนต์ V8 นี้ทำงานควบคู่ไปกับโมดูลไฮบริด โมดูลไฮบริดประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีกำลัง 115 กิโลวัตต์และ Decoupler ที่ทำการเชื่อมต่อกับเครื่องยนต์เผาไหม้ ด้วยการที่รถออกมาในรูปแบบ Parallel hybrid ทำให้ 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) สามารถสร้างกำลังเครื่องยนต์ทางด้านเพลาหลังโดยเครื่องยนต์เผาไหม้ หรือ มอเตอร์ไฟฟ้า หรือผ่านทั้งสองระบบร่วมกัน กำลังเครื่องยนต์ใน 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) จะเหมือนกับรถสปอร์ตจากปอร์เช่ที่ถูกส่งออกมาจากทางด้านหน้าของเพลาหลัง และไม่มีการเชื่อมโยงทางกลไกโดย ตรงต่อเพลาหน้า กลับหัวเพื่อให้ได้มาซึ่งจุดศูนย์ถ่วงต่ำ: Doppelkupplung ระบบส่งผ่านกำลังเครื่องยนต์แบบอัตโนมัติ 7 สปีดแบบคลัทช์คู่ (PDK) จะทำการส่งผ่านกำลังของเครื่องยนต์เข้าสู่เพลาหลัง การส่งผ่านกำลังเครื่องยนต์ที่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพนี้คือความสำเร็จของระบบเกียร์อัตโนมัติ PDK เวอร์ชั่นสปอร์ต ที่ได้รับการออกแบบใหม่หมดสำหรับติดตั้งใน 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) เพื่อให้ได้มาซึ่งประสิทธิภาพที่มากกว่า แกนตามยาวของยูนิตเกียร์ได้ถูกกลับหัวถึง 180 องศา แตกต่างจากรถปอร์เช่รุ่นอื่น และได้รับการติดตั้งในตำแหน่งที่ต่ำเพื่อให้ได้มาซึ่งจุดศูนย์ถ่วงของรถที่ต่ำนั่นเอง หากเพลาหลังไม่ต้องการพลังเครื่องยนต์แล้ว มอเตอร์ทั้งสองสามารถแยกจากกันโดยการเปิด Decoupler และคลัทช์ของ PDK นี่คือการทำงานตามแบบฉบับเดียวกันกับฟังก์ชั่น Coasting ในระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริดของปอร์เช่ ที่ทำงานเมื่อเครื่องยนต์แบบเผาไหม้นั้นปิดการทำงานลงนั่นเอง ระบบขับเคลื่อนแบบ Independent all-wheel drive: เพลาด้านหน้าที่มาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ทางด้านเพลาหน้ามีมอเตอร์ไฟฟ้าอีกหนึ่งตัวที่ได้รับการติดตั้งอยู่และมีกำลังขับอยู่ที่ประมาณ 95 กิโลวัตต์ การขับเคลื่อนแบบไฟฟ้าทางด้านหน้าขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยอัตราที่คงที่ Decoupler จะทำการแยกมอเตอร์ไฟฟ้าเมื่ออยู่ในความเร็วสูงเพื่อป้องกันไม่ให้มอเตอร์นั้น over-revving แรงบิดได้รับการควบคุมเป็นอิสระสำหรับเพลาแต่ละด้าน ส่งผลให้เกิดการตอบสนองได้ดีเยี่ยมสำหรับการขับเคลื่อนสี่ล้อ และส่งผลให้รถเกาะถนน และมีการขับเคลื่อนที่คล่องตัวสูงอีกด้วย แบตเตอรี่ในรูปแบบ Lithium-ion battery ที่มาพร้อมกับระบบชาร์จ plug-in charging system พลังไฟฟ้าสำหรับมอเตอร์ไฟฟ้าได้ถูกจัดเก็บโดยแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนที่ใช้การระบายความร้อนด้วยน้ำยา บรรจุเซลล์แบตเตอรี่ไว้ถึง 312 เซลล์และเก็บพลังงาน 7 กิโลวัตต์ แบตเตอรี่ของ 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) ได้รับการออกแบบโดยเน้นประสิทธิภาพทั้งในเรื่องของการชาร์จพลังงานและการขับกำลังเครื่องยนต์ ความจุกำลังเครื่องยนต์และระยะเวลาของการใช้งานของแบตเตอรี่ lithium-ion traction battery นี้ขึ้นอยู่กับหลายองค์ประกอบ รวมไปถึงสภาวะความร้อนและนี่คือเหตุผลที่แบตเตอรี่ของ 918 สไปเดอร์ (918 Spyder) ใช้น้ำยาในการหล่อเย็นโดยวงจรการหล่อเย็น การรับประกันแบตเตอรี่แบบทั่วโลกยาวนานถึง 7 ปีเลยทีเดียว -นท-

ข่าวน้ำมันเชื้อเพลิง+ซูเปอร์สปอร์ตวันนี้

OR จับมือ ไทย ไลอ้อน แอร์ ใช้เชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (SAF) ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินไทยสู่อนาคตพลังงานสะอาด

นายไพศาล อุดมกุลวณิชย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านธุรกิจเอนเนอร์ยี่โซลูชัน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR และ นายอัศวิน ยังกีรติวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทย ไลอ้อน แอร์ ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อเริ่มต้นใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน หรือ SAF (Sustainable Aviation Fuel) ในเส้นทางบินทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ โดยมี นางนันทพร โกมลสิทธิ์เวช ผู้อำนวยการฝ่ายการพาณิชย์สายการบินไทย ไลอ้อน แอร์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร OR ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทร... คาลเท็กซ์ เข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ลดใช้พลังงาน เดินหน้าหนุนสินค้ารักษ์โลก — นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เยี่ยมชมบ...

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทร... คาลเท็กซ์ เข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ลดใช้พลังงาน — นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เยี่ยมชมบูธร้านค้าผลิตภัณฑ์ชุมชนลดใช...

เมื่อเร็ว ๆ นี้ คาลเท็กซ์ โดยบริษัท สตาร์... คาลเท็กซ์ คว้า 3 รางวัลสุดยอดห้องน้ำแห่งปี 2568 ของกรุงเทพมหานคร — เมื่อเร็ว ๆ นี้ คาลเท็กซ์ โดยบริษัท สตาร์ ฟูเอลส์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเค...

นายธวัชชัย นภาศักดิ์ศรี ผู้อำนวยการสำนักก... สนย. รุดแก้ไขทางเท้าทรุดตัว ถ.บางบอน 3 กำชับผู้รับเหมาเข้มงวดมาตรการความปลอดภัย — นายธวัชชัย นภาศักดิ์ศรี ผู้อำนวยการสำนักการโยธา (สนย.) กทม. กล่าวกรณีเกิ...