ฟิทช์ประกาศคงอันดับเครดิตของ BBL SCB และ KBANK แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

กรุงเทพฯ--3 มิ.ย.--ฟิทช์ เรทติ้งส์

ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศคงอันดับเครดิตของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 3 แห่งของประเทศไทย ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB และ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBank อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว (Long-Term Foreign-Currency IDR) ของธนาคารทั้งสามแห่ง อยู่ที่ระดับ ‘BBB+’ อันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน (Viability Rating, VR) อยู่ที่ระดับ ‘bbb+’ และอันดับเครดิตในประเทศ ที่ ‘AA(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ สำหรับรายละเอียดอันดับเครดิตอื่นแสดงไว้ในส่วนท้าย ปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต – อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศ อันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน อันดับเครดิตภายในประเทศ และอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ อันดับเครดิตของธนาคารทั้งสามแห่งสะท้อนการมีเครือข่ายในประเทศที่แข็งแกร่ง คุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้น โครงสร้างเงินกู้ยืมและสภาพคล่องที่แข็งแกร่ง ฐานะเงินกองทุนที่เหมาะสม และความสามารถในการทำกำไรที่ดี ธนาคารทั้งสามแห่งมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในปี 2555 มีการเติบโตทั้งในด้านรายได้ดอกเบี้ยสุทธิและรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย โดยได้รับการขับเคลื่อนจากการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงการเป็นผู้นำในตลาดของธนาคารทั้งสามแห่ง คุณภาพสินทรัพย์ที่รายงานออกมายังมีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญอยู่ในระดับดีขึ้น อย่างไรก็ดี ผลการดำเนินงานที่ดีดังกล่าว ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของสินเชื่อที่ดีในสภาวะแวดล้อมที่ผ่อนคลาย ทั้งนี้ สินเชื่อจัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษรวมกับสินเชื่อปรับโครงสร้างยังอยู่ในระดับค่อนข้างสูง แต่คาดว่าอัตราการเปลี่ยนไปเป็นสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้น่าจะอยู่ในระดับต่ำ โครงสร้างเงินกู้ยืมและสภาพคล่องยังดีแม้สินเชื่อจะเติบโตสูง เนื่องจากการมีเครือข่ายเงินฝากที่เข้มแข็ง ฟิทช์คาดว่าธนาคารทั้งสามยังน่าจะมีการเติบโตของกำไรอย่างต่อเนื่อง สืบเนื่องจากมุมมองเศรษฐกิจในปัจจุบันรวมถึงพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งของธนาคาร BBL โดดเด่นในด้านการดำรงฐานะเงินกองทุน อัตราส่วนสำรองหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ และสภาพคล่องรวมถึงโครงสร้างเงินกู้ ที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง อัตราส่วนการทำกำไรของ BBL ค่อนข้างต่ำกว่า SCB และ KBANK เนื่องจากการที่ธนาคารมีสัดส่วนสินเชื่อภาคธุรกิจขนาดใหญ่ที่ค่อนข้างสูง แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ดีเมื่อเปรียบเทียบในระดับสากลกับธนาคารอื่นที่อยู่ในอันดับเครดิตระดับเดียวกัน การที่ธนาคารมีจุดเด่นด้านสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ อาจทำให้ธนาคารมีความเสี่ยงด้านการกระจุกตัวของสินเชื่อ (loans concentration) เพิ่มขึ้นจากความเป็นไปได้ที่จะมีการปล่อยกู้บริษัทเพื่อการซื้อหรือควบรวมกิจการขนาดใหญ่ อย่างไรก็ดี ฐานะเงินกองทุนและสำรองหนี้สงสัยจะสูญที่อยู่ในระดับสูงของธนาคารน่าจะเป็นตัวช่วยลดความเสี่ยงดังกล่าวได้เพียงพอ หากการการกระจุกตัวดังกล่าว และการยอมรับความเสี่ยงของธนาคารไม่เพิ่มมากจนเกินไป KBank มีการปรับตัวดีขึ้นในด้านฐานะเงินกองทุน จากเดิมที่อยู่ในระดับต่ำกว่าธนาคารอีกสองแห่ง โดยฐานะเงินกองทุนเพิ่มขึ้นจากกำไรสะสม และการที่ธนาคารมีการเติบโตสินเชื่อไม่สูงมากนัก ธนาคารมีการกระจุกตัวของสินเชื่อน้อยกว่าธนาคารอีกสอง แห่ง เนื่องจากธนาคารมีสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในสัดส่วนสูงกว่า คุณภาพสินทรัพย์ของสินเชื่อกลุ่มดังกล่าวอาจจะมีความผันผวนต่อเศรษฐกิจมากกว่าสินเชื่อกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ แต่ความเสี่ยงดังกล่าวสามารถรองรับได้ด้วยอัตราส่วนการทำกำไรที่สูง และเงินกองทุนที่เพียงพอของ KBank อย่างไรก็ดี ฟิทช์ยังต้องติดตามการเติบโต โดยตั้งข้อสังเกตถึงการก่อหนี้เพิ่มขึ้นของทั้งระบบในช่วงสองถึงสามปีที่ผ่านมา เมื่อเปรียบเทียบในกลุ่มธนาคารใหญ่ทั้งสามแห่ง ฟิทช์เห็นว่า SCB มีการทำธุรกิจที่ยอมรับความเสี่ยง (risk appetite) สูงที่สุด โดยพิจารณาจากการเติบโตสินเชื่อที่อยู่ในระดับสูงกว่าธนาคารอีกสองแห่ง และสูงกว่าอุตสาหกรรม รวมถึงการมีสินเชื่อกับธุรกิจบางแห่งที่มีฐานะการเงินอ่อนแอ ทั้งนี้ หากธนาคารมีการปล่อยกู้วงเงินสูงกับธุรกรรมซื้อหรือควบรวมกิจการขนาดใหญ่ อาจทำให้ความเสี่ยงด้านการกระจุกตัวของสินเชื่อเพิ่มขึ้น รวมถึงอาจมีแรงกดดันต่อเงินกองทุนและเพิ่มความผันผวนของคุณภาพสินทรัพย์ในช่วงเศรษฐกิจขาลง ฐานะเงินกองทุนของ SCB ถือว่าเพียงพอในปัจจุบัน แม้ว่าจะลดลงจากการเติบโตของสินเชื่อในระดับสูง ทั้งนี้ ฟิทช์คาดว่า อัตราการเติบโตของสินเชื่อจะลงมาอยู่ในระดับปานกลางและไม่เป็นแรงกดดันต่อฐานะเงินกองทุน คุณภาพสินทรัพย์และสำรองหนี้สงสัยจะสูญมีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอยู่ในระดับเดียวกันกับธนาคารใหญ่ทั้งสองแห่ง ทั้งนี้ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ความสามารถในการทำกำไรของ SCB ถือว่ามีความโดดเด่นกว่าธนาคารใหญ่อื่น และน่าจะเป็นส่วนช่วยรองรับความเสี่ยงหากคุณภาพสินทรัพย์มีการถดถอยลงในระดับปานกลาง BBL เป็นธนาคารพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศในด้านสินทรัพย์ และมีสัดส่วนธุรกิจในต่างประเทศมากที่สุดในกลุ่มธนาคารไทย SCB เป็นธนาคารพาณิชย์ที่เก่าแก่ที่สุด และมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ ส่วน KBank เป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสี่ของประเทศ BBL เป็นผู้นำในด้านสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ SCB เป็นผู้นำในด้านสินเชื่ออุปโภคบริโภค ส่วน KBank เป็นผู้นำในด้านสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต – อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศ อันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน อันดับเครดิตภายในประเทศ และอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ การปรับเพิ่มอันดับเครดิต อาจพิจารณาจากการปรับตัวดีขึ้นอย่างยั่งยืนของสภาวะแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจภายในประเทศ และการปรับตัวแข็งแกร่งขึ้นต่อเนื่องของฐานะทางการเงินโดยรวมของธนาคาร โดยที่ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (risk appetite) ไม่เพิ่มขึ้น หรือมีการเพิ่มขึ้นของความเสี่ยงที่เชื่อมโยงกับภาครัฐ การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดจากการเพิ่มขึ้นของความเสี่ยงในด้านคุณภาพสินทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญ ที่อาจส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรหรือเงินกองทุนลดลง ตัวอย่างของเหตุการณ์ดังกล่าวอาจรวมถึง การเพิ่มระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้จากการเพิ่มระดับการกระจุกตัวของสินเชื่อ และ/หรือ การเติบโตของสินเชื่อในระดับสูงเกินไป โดยที่ความสามารถในการรองรับความเสี่ยงไม่ได้ปรับตัวแข็งแกร่งขึ้น โดยความสามารถในการรองรับความเสี่ยงอาจสะท้อนจากผลการดำเนินงานหรือเงินกองทุนที่แข็งแกร่งขึ้น ทั้งนี้ความเสี่ยงดังกล่าวอาจมีโอกาสเกิดขึ้นได้มากกว่าในกรณีของ SCB (ซึ่งมีการเติบโตและการกระจุกตัวของสินเชื่อสูง) และ BBL (มีการกระจุกตัวของสินเชื่อสูง) เมื่อเทียบกับ KBank ในกรณีของ SCB การลดลงของความสามารถในการรองรับความเสี่ยงอันเกิดจากการเติบโตของสินเชื่อในระดับสูง ได้แก่ การที่ฐานะเงินกองทุนลดลง และ/หรือ การปรับตัวลดลงของอัตราส่วนสำรองหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ อาจเป็นปัจจัยลบต่ออันดับเครดิตของธนาคาร ปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต – อันดับเครดิตสนับสนุน (Support Rating) และ อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำ (Support Rating Floor) อันดับเครดิตสนับสนุนและอันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำของธนาคารทั้ง 3 แห่ง สะท้อนถึงการที่ธนาคารทั้ง 3 แห่ง มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและการเงินในประเทศไทย เนื่องจากธนาคารทั้ง 3 แห่งมีสัดส่วนทางการตลาดในระดับที่ค่อนข้างสูงที่ 15% - 20% ในด้านสินเชื่อและเงินฝาก ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต – อันดับเครดิตสนับสนุน และ อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำ การปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญของสัดส่วนทางการตลาดของธนาคารทั้ง 3 แห่ง อาจส่งผลให้อันดับเครดิตสนับสนุนและอันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำถูกปรับลดอันดับ อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ดังกล่าวไม่น่าจะเกิดขึ้นในระยะปานกลาง นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงของอันดับเครดิตของประเทศไทยอาจส่งผลให้อันดับเครดิตสนับสนุนและอันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำถูกปรับลดลง ปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต – หุ้นกู้ด้อยสิทธิ หุ้นกู้ด้อยสิทธิสกุลเงินเหรียญสหรัฐฯ ของ BBL มีอันดับเครดิตต่ำกว่าอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศของธนาคารอยู่ 1 อันดับ อันดับเครดิตของหุ้นกู้ด้อยสิทธิสกุลเงินบาทของธนาคารทั้ง 3 แห่ง มีอันดับเครดิตต่ำกว่าอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวอยู่ 1 อันดับ เนื่องจากหุ้นกู้ดังกล่าวมีลักษณะด้อยสิทธิในโครงสร้างเงินทุน (capital structure) และสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของฟิทช์ในการจัดอันดับเครดิตตราสารประเภทดังกล่าว ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต – หุ้นกู้ด้อยสิทธิ อันดับเครดิตของหุ้นกู้ด้อยสิทธิของธนาคารทั้ง 3 แห่ง จะได้รับผลกระทบหากมีการเปลี่ยนแปลงในอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศและอันดับเครดิตภายในประเทศของธนาคาร รายละเอียดของอันดับเครดิตทั้งหมดมีดังนี้ BBL: - อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว คงอันดับที่ ‘BBB+’; แนวโน้มอันดับเคดริตมีเสถียรภาพ - อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้น คงอันดับที่ ‘F2’ - อันดับความเข็งแกร่งทางการเงิน คงอันดับที่ ‘bbb+’ - อันดับเครดิตสนับสนุน คงอันดับที่ ‘2’ - อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำคงอันดับที่ ‘BBB-’ - อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว คงอันดับที่ ‘AA(tha)’; แนวโน้มอันดับเคดริตมีเสถียรภาพ - อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น คงอันดับที่ ‘F1+(tha)’ - อันดับเครดิตสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน คงอันดับที่ ‘BBB+’ - อันดับเครดิตสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ด้อยสิทธิ คงอันดับที่ ‘BBB’ - อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิ คงอันดับที่ ‘AA-(tha)’ SCB: - อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว คงอันดับที่ ‘BBB+’; แนวโน้มอันดับเคดริตมีเสถียรภาพ - อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้น คงอันดับที่ ‘F2’ - อันดับความเข็งแกร่งทางการเงิน คงอันดับที่ ‘bbb+’ - อันดับเครดิตสนับสนุน คงอันดับที่ ‘2’ - อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำคงอันดับที่ ‘BBB-’ - อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว คงอันดับที่ ‘AA(tha)’; แนวโน้มอันดับเคดริตมีเสถียรภาพ - อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น คงอันดับที่ ‘F1+(tha)’ - อันดับเครดิตสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน คงอันดับที่ ‘BBB+’ - อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ระยะสั้น ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน คงอันดับที่ ‘F1+(tha)’ - อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิ คงอันดับที่ ‘AA-(tha)’ KBank: - อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว คงอันดับที่ ‘BBB+’; แนวโน้มอันดับเคดริตมีเสถียรภาพ - อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้น คงอันดับที่ ‘F2’ - อันดับความเข็งแกร่งทางการเงิน คงอันดับที่ ‘bbb+’ - อันดับเครดิตสนับสนุน คงอันดับที่ ‘2’ - อันดับเครดิตสนับสนุนขั้นต่ำคงอันดับที่ ‘BBB-’ - อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว คงอันดับที่ ‘AA(tha)’; แนวโน้มอันดับเคดริตมีเสถียรภาพ - อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น คงอันดับที่ ‘F1+(tha)’ - อันดับเครดิตสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของหุ้นกู้ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน คงอันดับที่ ‘BBB+’ - อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ระยะสั้น ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน คงอันดับที่ ‘F1+(tha)’ - อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ด้อยสิทธิ คงอันดับที่ ‘AA-(tha)’-กภ-

ข่าวธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด+ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่วันนี้

กลุ่มเอสซีบีเอกซ์จัดพิธีแสดงความอาลัยและตักบาตรถวายพระราชกุศลสัตตมวาร แด่สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

กลุ่มเอสซีบีเอกซ์จัดพิธีแสดงความอาลัยและตักบาตรพระสงฆ์ จำนวน 93 รูป อุทิศถวายพระราชกุศลสัตตมวาร (7 วัน) แด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ โดยมี นายประสัณห์ เชื้อพานิช รองประธานกรรมการ และประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยคณะกรรมการ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) คณะกรรมการ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) คณะผู้บริหารและพนักงานบริษัทในกลุ่มเอสซีบี

ธนาคารไทยพาณิชย์ ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้... ธนาคารไทยพาณิชย์ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท 0.25% มีผลวันที่ 15 สิงหาคม 2568 — ธนาคารไทยพาณิชย์ ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท 0.25% ต...