คาร์ติโน ชี้ภาพรวมตลาดคอลลาเจนและเจลาตินเมืองไทยเติบโตแบบก้าวกระโดด มั่นใจปี 56 มีอัตราเติบโตกว่า 30% คาดกวาดส่วนแบ่งกว่า 50% สานต่อเบอร์ 1 ของตลาด 13 ปี อย่างต่อเนื่อง

11 Apr 2013

กรุงเทพฯ--11 เม.ย.--โฟว์ดี คอมมิวนิเคชั่น

คาร์ติโน ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตและจำหน่ายคอลลาเจนและเจลาตินของไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชี้จับตา อัตราการเติบโต หลังกระแสคอลลาเจนถูกดึงมาใช้ในผลิตภัณฑ์อย่างหลากหลายและคาดว่าจะมีเพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่อง เผยตลาดรวมมีอัตราเติบโตเฉลี่ย 10% ต่อปี เดินหน้ารุกตลาดทั้งในและต่างประเทศ ดันส่วนแบ่งแตะ 50% ในปี 56 วางหมากขยายตลาดทั้งในส่วนตลาดองค์กรและตลาดคอนซูเมอร์ หวังดันแชร์เพิ่มกว่าครึ่งของมูลค่าตลาดรวมในไทย

นางศรินรัตน์ ปฐวีภัทรานันท์ กรรมการบริหาร บริษัท คาร์ติโน เจลาติน จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบัน คาร์ติโน ถือเป็นบริษัทผู้ผลิตเจลาตินรายแรกและรายเดียวในประเทศไทยและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หากวิเคราะห์ถึงภาพรวมตลาด พบว่า ในแต่ละปีประเทศไทยมีการนำเข้าเจลาตินประมาณ ปี ละ 1500 ตัน หรือ ประมาณ 300-400 ล้านบาทต่อปี โดยที่ผ่านมาตลาดเจลาตินมีแนวโน้มเติบโตทุกปี โดยโตขึ้นประมาณปีละ 10% ทั้งนี้ เจลาตินที่มีการนำเข้าส่วนใหญ่ อยู่ในกลุ่มทั้งเกรดอาหารและเกรดยา เมื่อคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น ทุกคนหันมาสนใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น รับประทานขนมและอาหารเสริมมากขึ้น ตลาดในกลุ่มอุตหาหกรรมอาหาร และยาจึงเติบโตตามไปด้วย และด้วยประสบการณ์การผลิตเจลาตินและคอลลาเจนคุณภาพระดับสากลมากว่า 10 ปี ทำให้บริษัทฯ และผลิตภัณฑ์ เป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ ปัจจุบันบริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้จากการส่งออก สู่ตลาดต่างประเทศประมาณ 60-70% และจำหน่ายในประเทศ 30-40% โดยกลุ่มตลาดลูกค้าหลัก ประกอบด้วย ธุรกิจอาหารและยา เช่น ขนมเยลลี่, ผลิตภัณฑ์นมหรือโยเกิร์ต, ขนม,ลูกกวาด, แคปซูนนิ่มและแคปซูนแข็ง โดยตลาดส่งออกที่สำคัญได้แก่ ญี่ปุ่น ไต้หวัน เวียดนาม อินโดนีเซีย และประเทศในแถบตะวันออกกลาง

“ปัจจุบัน คาร์ติโน คลองส่วนแบ่งตลาดประมาณ 30% ซึ่งบริษัทฯ วางแผนว่าจะขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว เพื่อให้สามารถเพียงพอต่อความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าภายในสิ้นปี 2556 จะสามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 50% และสามารถสร้างอัตราการเติบโตได้ 20-30 % ในปีนี้ อันเป็นผลมาจากความแข็งแกร่งในฐานะที่ คาร์ติโน เป็นโรงงานเพียงแห่งเดียวในประเทศ และใช้วัตถุดิบในประเทศ ทำให้บริหารจัดการได้ง่าย ทั้งในเรื่องต้นทุนและการส่งสินค้า ลูกค้าสามารถได้สินค้ารวดเร็วในราคาที่ดีกว่า โดยคุณภาพของสินค้าเทียบเท่าระดับสากล นอกจากนี้ เรายังสามารถปรับสินค้าให้ได้ตามความต้องการของลูกค้า แต่ละรายอีกด้วย” นางศรินรัตน์ ปฐวีภัทรานันท์ กล่าว

ทั้งนี้ ตลาดคอลลาเจนในประเทศในปีที่ผ่านมา ก็ถือว่าเติบโตขึ้นกว่า 20% จากการที่คนทั่วไปหันมาดูแลสุขภาพ กันมากขึ้น ทำให้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมโดยเฉพาะคอลลาเจนกลายเป็นที่นิยมอย่างมากในปีที่ผ่านมา และยังคงมี แนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในปีนี้ จะเห็นได้ว่าผลิตภัณฑ์คอลลเจนถูกนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารเสริม และเครื่องดื่ม มากมายหลายยี่ห้อ เพื่อเสริมคุณค่าและเพิ่ม Value Added ให้กับผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมาย “เนื่องจาก คาร์ติโนเป็นผู้ผลิตคอลลาเจน เราจึงเล็งเห็นว่า คอลลาเจน มีประโยชน์มากในการดูแลสุขภาพ ผิวพรรณ กระดูกและข้อต่อ แต่ต้องรับประทานให้ได้ปริมาณที่เหมาะสมและเพียงพอจึงจะเกิดประโยชน์ บริษัทฯ จึงมีวางแผนที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ คอลลาเจน เพื่อมุ่งเจาะตลาดกลุ่มผู้บริโภครายย่อย โดยคาดว่าจะเปิดตัว อย่างเป็นทางการภายในไตรมาส 2 ของปีนี้ ภายใต้งบประมาณการลงทุนกว่า 50 ล้านบาท เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า ที่รักสุขภาพ และต้องรับประทานคอลลาเจน เพื่อดูแลสุขภาพและความงามจริงๆ” นางสาวศรินรัตน์ ปฐวีภัทรานันท์ กล่าวเสริม

เกี่ยวกับ คาร์ติโน เจลาติน

บริษัท คาร์ติโน เจลาติน เป็นบริษัทแห่งแรกในประเทศไทยที่เป็นโรงงานผู้ผลิตเจลาตินและคอลลาเจนบริสุทธ์ 100% คาร์ติโน เจลาติน คือโรงงานผู้ผลิตเจลาตินเกรดอุตสาหกรรมยา และอุตสาหกรรมอาหารที่นำไปผลิต แคปซูลยา, เยลลี่ และอื่นๆ โดยการนำวัตถุดิบจากกระดูกมาผ่านกระบวนการผลิต ที่มีผู้เชี่ยวชาญ และเทคโนโลยีที่ทันสมัยจากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาเป็นที่ปรึกษา และเป็นผู้เชี่ยวชาญในการกระบวนการตรวจสอบ การผลิตเพื่อให้ได้เจลาตินที่มีคุณภาพมาตรฐานระดับสากล ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศด้วยกำลังการผลิต ประมาณ 1,000 ตันต่อปี บริษัท คาร์ติโน เจลาติน ได้ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 2000 มีทุนการลงทุนของมากกว่า 150 ล้านบาท โดยวัตถุดิบสำหรับการผลิตเป็นกระดูกวัวในประเทศเป็นวัวที่มาจากฟาร์มที่ได้รับมาตรฐาน และถูกตรวจสอบจากกรมปศุสัตว์ ปราศจากสารตกค้าง BSE และ FMD ด้านผลิตภัณฑ์คอลลาเจน คาร์ติโน ได้ผลิตมาจากเกร็ดปลาชันดี นำมาผ่านกระบวนการการผลิตที่ทันสมัยและผ่านกรรมวิธีสารสกัดจากเกล็ดและหนังจาก ปลาน้ำจืดและปลาทะเล พร้อมกับการควบคุมและตรวจสอบคุณภาพทุกกระบวนการโดยผู้เชี่ยวชาญ จึงเป็นผลิตภัณฑ์ คอลลาเจนบริสุทธิ์ 100% และไม่มีสารปรุงแต่งกลิ่น รส และไม่มีวัตถุกันเสีย สามารถเก็บได้ภายในระยะเวลา 2 ปี บริษัทฯ ได้รับมาตราฐานการผลิตที่ดีเยี่ยมจากการรับรองของสถาบัน SGS ทั้งด้าน GMP HACCP และ Halal ปัจจุบัน ตลาดส่งออกคอลลาเจนที่สำคัญของบริษัท คือประเทศญี่ปุ่น

-กภ-

สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net