สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี(รพ.เด็ก) รณรงค์ร่วมลดอัตราการเกิดตาบอดในเด็กไทย เนื่องในวันสายตาโลก

10 Oct 2013

กรุงเทพฯ--10 ต.ค.--เอสซีลอร์ดิสทริบิวชั่น

สภาวะตาบอดและสายตาเลือนรางรวมทั้งโรคตาที่เป็นปัญหาสาธารณสุขเป็นข้อมูลที่จำเป็นและมีความสำคัญยิ่งต่อการดำเนินโครงการส่งเสริมสุขภาพตา เพื่อนำไปกำหนดนโยบายและจัดกิจกรรมต่างๆ ในการที่จะแก้ปัญหาตาบอดและสายตาพิการให้ตรงกับข้อเท็จจริงตามสภาวะสาธารณสุขในปัจจุบัน ตลอดจนการจัดบริการทางตาให้ถูกต้องและเหมาะสม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลและส่งเสริมสุขภาพประชาชน ให้มีสุขภาพดีถ้วนหน้า และมีคุณภาพชีวิตที่ดีคณะทำงานโครงการส่งเสริมสุขภาพตา กระทรวงสาธารณสุข ได้มีการจัดทำโครงการสำรวจ ศึกษา วิเคราะห์ วิจัยระบาดวิทยาของโรคตา โดยเฉพาะในเรื่องของตาบอด สายตาเลือนราง และโรคตาที่เป็นสาเหตุสำคัญและเป็นปัญหาสาธารณสุขระดับชาติมาแล้ว 4 ครั้ง

จากการสำรวจสภาวะตาบอด ครั้งที่ 4 ในปี พ.ศ. 2549-2550พบว่าประชากรไทยมีความชุกของตาบอดร้อยละ 0.59และสายตาเลือนรางร้อยละ 1.57 และโรคที่เป็นสาเหตุของตาบอดในประชากรไทยที่สำคัญ 5 โรคได้แก่

1. โรคต้อกระจก เป็นสาเหตุของตาบอดสูงถึงร้อยละ 51

2. โรคต้อหิน เป็นสาเหตุของตาบอดร้อยละ9.8

3. โรคของจอตา เป็นสาเหตุของตาบอดร้อยละ9

4. โรคที่ทำให้ตาบอดในเด็ก เป็นสาเหตุของตาบอดร้อยละ 5.7

5. โรคของกระจกตา เป็นสาเหตุของตาบอดร้อยละ 5

องค์การอนามัยโลกและ International Agency for Prevention of Blindness กำหนดให้วันพฤหัสบดี สัปดาห์ที่ 2 ของเดือนตุลาคมของทุกปีเป็นวัน World Sight Day หรือ วันสายตาโลก มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทุกคนตระหนักถึงปัญหาตาบอด สายตาพิการ และการฟื้นฟูสภาพสายตาสำหรับในปีนี้วัน World Sight Day หรือ วันสายตาโลก ตรงกับวันที่ 10 ตุลาคม 2556 สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี(รพ.เด็ก)กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขร่วมจัดกิจกรรมรณรงค์ “โครงการลดอัตราการเกิดตาบอดในเด็กไทย”ซึ่งเป็นสาเหตุของตาบอดในประชากรไทยอันดับ 4

นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวในพิธีแถลงข่าวการรณรงค์ ร่วมลดอัตราการเกิดตาบอดในเด็กไทย ณ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีว่า“จากการสำรวจสภาวะตาบอด สายตาเลือนราง และโรคตาที่เป็นปัญหาสาธารณสุขในประเทศไทย ครั้งที่4 ปี พ.ศ.2549-2550พบว่าประชากรไทยมีความชุกของตาบอดร้อยละ 0.59และสายตาเลือนรางร้อยละ 1.57 และโรคที่เป็นสาเหตุของตาบอดในประชากรไทยที่สำคัญ 5 โรคได้แก่โรคต้อกระจก โรคต้อหิน โรคของจอตา โรคที่ทำให้ตาบอดในเด็ก และโรคของกระจกตา

กรมการแพทย์ ในฐานะที่กำกับดูแลศูนย์ความเป็นเลิศสาขาจักษุวิทยา ตระหนักและเห็นความสำคัญของปัญหาระดับชาติดังกล่าว ได้จัดทำแผนพัฒนาเขตบริการสุขภาพ [Service Plan] สาขาจักษุวิทยา ภายใต้นโยบาย “การปฏิรูปกระทรวงสาธารณสุข เพื่อคุณภาพชีวิตประชาชนไทย” ของ ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (นายแพทย์ประดิษฐ์ สินธวณรงค์) มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาสภาวะตาบอดและสายตาเลือนรางของประชากร ตามกรอบแนวคิด Vision2020 ขององค์การอนามัยโลก โดยมีแผนพัฒนาต่อเนื่องไปอีก 5 ปี” นพ. สรศักดิ์ โล่ห์จินดารัตน์ รองผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีกรมการแพทย์กล่าวเสริมว่า

“ข้อมูลจากรายงานวิจัยเรื่องการสำรวจสภาวะตาบอด ตาเลือนรางและโรคตา ที่เป็นปัญหาสาธารณสุขในเด็ก อายุ 1-14 ปี พ.ศ. 2549-2550 ของประเทศไทย พบว่า อัตราความชุก ของสภาวะตาบอดในเด็กไทยเท่ากับร้อยละ 0.11 เป็นอัตราที่สูงกว่า การประมาณการขององค์การอนามัยโรคในปี พ.ศ. 2545 ซึ่งเท่ากับร้อยละ 0.07 ซึ่งองค์การอนามัยโลก ตั้งเป้าหมายไว้ว่า ในปี พ.ศ. 2563 อัตราตาบอดของเด็กในทุกประเทศไม่ควรเกิน ร้อยละ0.04 (ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก VISION 2020 action plan 2006-2010) โดยพบว่าสาเหตุของสภาวะตาบอดในเด็กไทย เกิดจากโรคที่จอตาในทารกคลอดก่อนกำหนดถึงร้อยละ 66.66 และเกิดจากภาวะตามัวที่เกิดจากภาวะสายตาผิดปกติ ที่ไม่ได้รับการแก้ไข ร้อยละ33.33 ดังนั้น การที่จะลดอัตราความชุกของสภาวะตาบอดในเด็กไทยได้ ต้องมุ่งเน้น การควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุสำคัญ คือ โรคจอตาในทารกคลอดก่อนกำหนด และสภาวะสายตาผิดปกติ ที่ไม่รับการแก้ไข

สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ มีบทบาทและหน้าที่ในการดูแลสุขภาพเด็กไทยทั่วประเทศได้เล็งเห็นความสำคัญของปัญหาตาบอดในเด็ก เพราะเมื่อเด็กตาบอดจะเกิดผลกระทบต่อพัฒนาการและคุณภาพชีวิต ทำให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่สามารถพัฒนาได้เต็มศักยภาพในอนาคต ดังนั้น การป้องกันและแก้ไขเป็นเรื่องสำคัญ ที่จะต้องรีบดำเนินการเพื่อลดจำนวนประชากรเด็กที่ตาบอดในอนาคต

กิจกรรมในวันนี้ เป็นหนึ่งในกิจกรรมสำคัญของ “โครงการลดอัตราตาบอดในเด็กไทย: Better Sight for Child” โดยกลุ่มเป้าหมาย คือ เด็กที่มีปัญหาสภาวะสายตาที่ผิดปกติ ให้ได้รับการวินิจฉัยจาก จักษุแพทย์ และได้รับการแก้ไขให้ได้รับแว่นตาอันแรกที่เหมาะสมกับเด็ก ซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่ง จาก บริษัทเอสซีลอร์ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ในการช่วยเหลือสังคมโดยบริษัทฯ เองมีมูลนิธิเอสซีลอร์วิชั่นฟาวด์เดชั่น(Essilor Vision Foundation) ที่ให้ความช่วยเหลือผู้พิการทางสายตามาโดยตลอด

พญ.ขวัญใจ วงศกิตติรักษ์ หัวหน้ากลุ่มงานจักษุวิทยาให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการคัดกรองภาวะสายตาผิดปกติในเด็กว่า การวินิจฉัยและรักษาภาวะสายตาผิดปกติไม่ยุ่งยาก แต่การเข้าถึงกลุ่มเด็กยังเป็นปัญหาเนื่องจากขาดแคลนบุคคลากรทางการแพทย์ที่จะทำหน้าที่คัดกรองหาเด็กที่มีปัญหา และส่งต่อสถานพยาบาลเพื่อรับการตรวจและวัดสายตา ประกอบแว่นที่ได้มาตรฐาน

ในขณะที่การวัดสายตาในเด็กแตกต่างจากการวัดสายตาในผู้ใหญ่ จำเป็นต้องใช้การหยอดยาเพื่อลดการเพ่งของตาเด็กและการประกอบแว่นตาให้เด็กต้องการความถูกต้อง แม่นยำ เพราะเด็กจะไม่สามารถบอกได้ว่าแว่นตาดีหรือไม่ดีการใส่แว่นที่ไม่ถูกต้องตรงตามสายตาเด็ก หรือระยะต่างๆในการประกอบแว่นไม่ถูกต้อง จะส่งผลเสียต่อสายตาเด็ก

จากเหตุผลดังกล่าวจึงต้องมีการพัฒนาระบบบริการร่วมกันระหว่างโรงเรียนและสถานพยาบาลเพื่อให้มีการตรวจคัดกรองเด็กเบื้องต้นโดยครูที่ได้รับการฝึกอบรม และส่งต่อเด็กที่คัดกรองพบความผิดปกติไปยังสถานพยาบาล และพัฒนาให้มีการบริการตรวจวัดสายตาและประกอบแว่นในหน่วยบริการ ซึ่งกลุ่มงานจักษุวิทยา สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีมีหลักสูตร “การวัดแว่นตาในเด็ก” เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับจักษุแพทย์ พยาบาลเวชปฏิบัติทางจักษุ และนักทัศนมาตรที่สนใจเข้ารับการอบรม ระยะเวลา 3 สัปดาห์ เพื่อเพิ่มบริการตรวจวัดสายตาในเด็ก ให้กระจายไปทั่วประเทศ

“กรณีตัวอย่างผู้ป่วยเด็กที่เข้ารับการส่งต่อเข้ารับการรักษาทางด้านสายตาได้อย่างทันกาลก่อนจะสายตาบอดในที่สุดเด็กชายกันต์อเนก บุตรคำ ถูกส่งตัวเข้ารับการตรวจรักษาที่รพ.เด็ก ตั้งแต่อายุ4 ปี ผู้ปกครองพามาตรวจที่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีครั้งแรกเมื่ออายุ 4 ปี 11 เดือน โดยให้ประวัติว่าเด็กชอบดูโทรทัศน์ใกล้ๆตั้งแต่อายุ 2 ปี แต่ไม่ได้พาไปตรวจ แต่เพราะครูสังเกตว่าเวลาเรียนน้องต้องเพ่งมองใกล้ ครูให้พ่อแม่พาให้ตรวจ หมอทำการตรวจพบว่าสายตาสั้นมาก ข้างขวา 5.50 ในขณะที่ข้างซ้ายสั้นถึง12 Diopter(หน่วยการวัดสายตา) ยิ่งไปกว่านั้นเด็กมีภาวะตาขี้เกียจแล้ว การมองเห็นได้เพียง 30เปอร์เซ็นต์ของที่ควรจะเป็น เพราะไม่ได้รับการรักษาประกอบแว่น ปัจจุบันน้องอายุ 7 ปี ระดับการมองเห็นได้มาถึง 90เปอร์เซ็นต์ หลังจากการรักษาด้วยแว่นตาและการกระตุ้นสายตา ที่สถาบันฯ ด.ญ.ชุติมา คงสถาน เป็นเด็กคลอดก่อนกำหนด มารับการรักษาผิดปกติในทารกคลอดก่อนกำหนด ตั้งแต่อายุ1 เดือน ได้รับการรักษาเรื่องจอตาในทารกคลอดก่อนกำหนด จนหายดี เมื่ออายุ 1 ขวบ หลังจากนั้นมีการตรวจติดตามสายตา พบว่า ตอนอายุ 4 ขวบ มีภาวะสายตาสั้นมาก ข้างขวา 8.00 Diopter ข้างซ้าย 7.50Diopter การมองเห็นเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ หลังจากนั้นมีการรักษาด้วยการวัดสายตาประกอบแว่น และกระตุ้นสายตา ปัจจุบันน้องอายุ 7 ปี ระดับการมองเห็นถึง 90 เปอร์เซ็นต์

ในแง่การสนับสนุนของภาคเอกชน นายทฤษฎี ตุลยอนุกิจ กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทย และภาคพื้นอินโดจีน บริษัท เอสซีลอร์ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวว่า

“ด้วยตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันและแก้ไขปัญหาเด็กตาบอดเนื่องจากสาเหตุต่างๆดังที่คุณหมอได้กล่าวไปข้างต้น บริษัท เอสซีลอร์ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด จึงได้ให้การสนับสนุนกิจกรรม Better Sight for Child ในปีนี้ ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ในการช่วยเหลือสังคม โดยทางบริษัทฯ เองก็มีมูลนิธิ เอสซีลอร์วิชั่นฟาวด์เดชั่น (Essilor Vision Foundation) ที่ให้ความช่วยเหลือผู้พิการทางสายตามาโดยตลอด และในการสนับสนุนกิจกรรมครั้งนี้ เราได้มอบเลนส์แว่นตา จำนวน 4,000 คู่ รวมมูลค่ากว่า 4 ล้านบาท เพื่อร่วมรณรงค์ลดอัตราการตาบอดในเด็กไทย นอกจากนี้ยังได้มีการจัดทำเสื้อยืด

คอลเลคชั่นพิเศษ ออกแบบโดยนักวาดภาพประกอบ ไผ่แก้ว อินสว่าง เพื่อจำหน่ายและนำรายได้ทั้งหมดมอบให้กับโครงการฯ นำไปช่วยเหลือเด็กๆ หาซื้อได้ที่โรงพยาบาลเด็ก หรือร่วมสมทบทุนโดยการบริจาคผ่าน 3 ช่องทาง ดังนี้ ช่องทางที่ 1 โอนเข้าบัญชี มูลนิธิโรงพยาบาลเด็ก อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ ธนาคารออมสิน สาขาชัยสมรภูมิ เลขที่ 02-8888-99999-3 ช่องทางที่ 2 บริจาคผ่านทางเคาน์เตอร์เซอร์วิส ทุกสาขาทั่วประเทศ โดยการแจ้งรหัสบริจาค มูลนิธิโรงพยาบาลเด็ก หรือผ่านตู้เอทีเอ็ม ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงเทพ ทุกสาขาทั้งนี้เราต้องการความช่วยเหลือและกำลังใจจากคนไทยทุกคนมาช่วยกันป้องกันเด็กให้รอดจากการตาบอด การมองเห็นชัดเจนขึ้นย่อมทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น ปัญหาการมองเห็นสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัย ดังนั้นการตรวจสายตาเป็นประจำจึงมีความสำคัญ การดูแลสายตาที่ดีจะนำไปสู่สุขภาพที่ดีขึ้นโดยรวม สำหรับการตรวจสายตาเด็กอย่างสม่ำเสมอมีความสำคัญเพราะร้อยละ 80 ของสิ่งที่เด็กได้เรียนรู้จนอายุ 12 ปีจะต้องอาศัยสายตา ทั้งนี้ พบว่าจำนวน 7 ใน 10 ของเด็กวัยเรียนที่มีปัญหาการอ่าน มีความบกพร่องทางสายตา ส่วนในวัยรุ่น ความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างปัญหาการมองเห็นที่ไม่แสดงอาการ

ข้อจำกัดการอ่านและการเรียนรู้ ปัญหาในโรงเรียนไม่ได้ส่งผลกระทบแค่การเรียนรู้ แต่ยังรวมถึงภาพลักษณ์ของหนุ่มสาว ซึ่งอาจกลายเป็นปัญหาตลอดชีวิต

เด็กที่มีภาวะสายตาผิดปกติและไม่ได้รับการแก้ไขจะมีผลกระทบในเชิงลบต่อการศึกษาและโอกาสในการทำงานในอนาคต ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของตนเอง ครอบครัว และคนในสังคมด้วยเช่นกันถึงเวลาแล้ว ที่ทุกคนมาร่วมกันรณรงค์ร่วมลดอัตราการเกิดตาบอดในเด็กไทย ด้วยการคัดกรองสังเกตพฤติกรรมของเด็กเล็ก ซึ่งครู ผู้ดูแลเด็ก และผู้ปกครองสามารถทำได้เองเบื้องต้นได้อย่างง่าย ก่อนที่อนาคตของเด็กน้อยที่เป็นกำลังของชาติจะดับมืดลง

-กผ-

สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net