“บางกอกแล็ป” ฉลองก้าวสู่ทศวรรษที่ 3 บุกตลาด AEC ตอกย้ำอันดับ 1 ผู้นำตลาดยาจากสมุนไพรไทย

06 Dec 2013
ฉลองก้าวสู่ทศวรรษที่ 3 “บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค กรุ๊ป” ผู้ดำเนินธุรกิจการผลิตยาและผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพ โดยคัดสรรวัตถุดิบ ตรวจสอบการผลิต และตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ตามระบบบริหารงานคุณภาพ จัดงานใหญ่ “20 ปี บูรณาการภูมิปัญญาไทยสู่ทศวรรษที่สาม” เปิดอาคารศูนย์วิจัย BLC (BLC Research Center) มาตรฐานสากล เพื่อรองรับผลงานวิจัยทั้งในองค์กร และผลงานวิจัยชั้นนำจากมาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศ พร้อมตอกย้ำผู้นำตลาดยาจากสมุนไพรไทย ทั้งในประเทศและตลาด AEC

ภก.สุวิทย์ งามภูพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค จำกัด เปิดเผยว่า บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค กรุ๊ป คือผู้ดำเนินธุรกิจการผลิตยาและผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพ โดยการคัดสรรวัตถุดิบ ตรวจสอบการผลิต และตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ตามระบบบริหารงานคุณภาพ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ตามมาตรฐานต่างๆ อันเป็นที่ยอมรับ เชื่อถือได้ ปลอดภัย และให้คุณประโยชน์ตลอดจนความพึงพอใจแก่ผู้บริโภคสูงสุด เพื่อมุ่งมั่นที่จะพัฒนารักษาไว้ซึ่งมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีการทบทวนและปรับปรุงให้เหมาะสมอยู่เสมอ

บริษัทฯ ก่อตั้งเมื่อปี 2536 จากการรวมตัวของ 3 เภสัชกรหนุ่ม (ภก.สุวิทย์ งามภูพันธ์, ภก.ศุภชัย สายบัว และ ภก.สมชัย พิสพหุธาร) ที่มีความรู้และประสบการณ์ทำงาน พร้อมปณิธานมุ่งมั่นที่จะสร้างโรงงาน และผลิตยาให้ได้มาตรฐาน ภายใต้บริษัททั้ง 3 คือ บริษัท บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค จำกัด ดำเนินด้านการผลิตยา วิจัย พัฒนา และควบคุมมาตรฐาน, บริษัท บางกอกดรัก จำกัด ดำเนินด้านการตลาด และ บริษัท ฟาร์มา อัลลิอันซ์ จำกัด ดำเนินด้านการสนับสนุนต่างๆ อาทิ ด้านการเงิน, ด้านโลจิสติกส์, ด้านการค้าต่างประเทศ ฯลฯ โดยในช่วงยุคแรกของบริษัทฯ เริ่มการผลิตยาสามัญทั่วไปจำหน่าย อาทิ ยาพาราเซททามอล, ยาไดโคฟีแนค, ยาเคลือบกระเพาะ รวมถึงยาประเภทอื่นๆ อีกหลายรายการ ต่อมาได้เพิ่มไลน์การผลิตประเภทเวชสำอาง และผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ด้วยความเป็นเภสัชกรของพวกเราทั้ง 3 คน เราได้มีเป้าหมายสูงสุดคือการผลิตยาที่ได้จากการวิจัยของตัวเอง และได้มองเห็นวาประเทศไทยเรามีสมุนไพรดีๆ อยู่มากมาย บรรพบุรุษสั่งสมภูมิปัญญาความรู้เรื่องยาเป็นจำนวนมาก แต่ยาสมุนไพรไทยทุกตัวยังมีจุดอ่อนที่ไม่มีความสม่ำเสมอในเรื่องตัวยา เพราะขาดการวิจัยทดสอบ และการผลิตที่ยังไม่ได้มาตรฐานสากล ทำให้ไม่สามารถคงฤทธิ์ของตัวยาสำคัญให้เท่ากันและมีความสม่ำเสมอในยาทุกล็อตการผลิตได้ เราจึงกำหนดทิศทางใหญ่ของบริษัท ว่าจะพัฒนาต่อยอดจากสมุนไพรไทยที่เป็นของดีอยู่แล้วมาใส่นวัตกรรม เทคโนโลยีที่ทันสมัย และผ่านการศึกษาทดลองตามกระบวนการวิจัยยาให้ครบถ้วนเพื่อให้ได้ยาที่มีมาตรฐานระดับสากล เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ยาไทยที่เทียบเท่าคุณภาพยาต่างชาติ

โดยเพื่อฉลอง “20 ปี บูรณาการภูมิปัญญาไทยสู่ทศวรรษที่สาม” บริษัท บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค จำกัด ได้เปิดอาคารศูนย์วิจัย BLC (BLC Research Center) ซึ่งนับว่าเป็นศูนย์วิจัยที่ได้มาตรฐานสากลระดับต้นๆ ของประเทศไทย มีวัตถุประสงค์ ในการดำเนินการบริหารงานคัดกรองวิทยาการความรู้เพื่อยกระดับงานวิจัยรวมทั้งพัฒนาและคัดเลือกสายพันธุ์สมุนไพรเพื่อใช้ผลิตและวิจัย เป็นศูนย์เครื่องมือกลางให้บริการเครื่องมือในการวิจัยและวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์รองรับงานวิจัยจากทั้งภายในและภายนอก รวมถึงออกแบบและพัฒนาสูตรตำรับผลิตภัณฑ์กลุ่มยาสามัญใหม่ (New Generic Drug)ตลอดจนค้นคว้าวิจัยสมุนไพร เทคนิคในการสกัดสารดำเนินการวิเคราะห์สารสกัดออกแบบและ พัฒนาสูตรตำรับผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อพัฒนากระบวนการสกัดสารสำคัญจากสมุนไพรให้ได้ปริมาณและมีคุณภาพ ให้มีความคงสภาพที่ดีและเป็นไปตามข้อกำหนดตามความต้องการของลูกค้า มีการค้นคว้าวิจัยโดยใช้วิทยาการใหม่ๆ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เพิ่มประสิทธิภาพความปลอดภัยและทันสมัย ที่ได้การรับรองมาตรฐานการผลิตยาที่ดี GMP,,มาตรฐาน ISO 9001:2000 มาตรฐานการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ISO 14001, มาตรฐานด้านอาชีวะอนามัย OHSAS 18001, มาตรฐานแรงงานไทย มรท. 8001 และ รางวัล อย.Quality Award 2010 ,2012 และ 2013จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อีกทั้งห้องปฏิบัติการควบคุมคุณภาพที่ใหญ่และไดรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 17025 จนสามารถกล่าวได้เต็มปากว่าเป็นโรงงานผลิตยาที่ได้คุณภาพระดับแถวหน้าของประเทศไทยเลยทีเดียว

ก้าวสู่ปีที่ 20 บริษัทฯ ภาคภูมิใจที่สามารถวิจัย พัฒนา และผลิตยาจากสมุนไพรที่ได้มาตรฐานสากล คือ ผลิตภัณฑ์เจล “แคปซิกา” บรรเทาอากาปวดทุกชนิด ทั้งกลุ่มกระดูกและกล้ามเนื้อ เช่น โรคข้อเสื่อม, ปวดเรื้อรัง และกลุ่มปวดเส้นประสาทมีส่วนประกอบสารแคมไซซิน ธรรมชาติ ที่สกัดได้จากพริกพันธุ์ยอดสนเข็ม 80 โดยใช้เวลาในการวิจัยพัฒนามากว่า 5 ปี และผลิตภัณฑ์ครีม “ไพลวาน่า” สารสกัดจากไพลที่ให้ฤทธิ์บรรเทาอาการปวดเมื่อยเคล็ดขัดยอก และอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ซึ่งทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ยาไทยนี้ถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ยาไทยที่สร้างความภูมิใจ เพราะทั้งผลิตโดยฝีมือเภสัชกรไทย ใช้วัตถุดิบในประเทศไทย สร้างอาชีพและรายได้ให้กับเกษตรกรไทย ตั้งเป้า 72 ล้านบาท โดยมีเปอร์เซ็นส่วนแบ่งการตลาดยาทาภายนอกแก้ปวดประมาณ 5 % จากตลาดรวมประมาณ 1,500 ล้านบาท ส่วนปีหน้าคาดว่าจะทำยอดขาย 100 ล้านบาท และจะเติบโต 40-50 % ในปีต่อๆ ไป และพร้อมลุยตลาดต่างประเทศ โดยในระยะแรกส่งออกตลาดในแถบอาเซียน เช่น ลาว, เวียดนาม, กัมพูชา, ฟิลิปปินส์ และในตะวันออกกลาง อาทิ ไนจีเรีย รวมถึงบุกตลาดในแถบประเทศอื่นๆ อาทิ ออสเตรเลีย และยุโรป และในปี 2556 ทางบริษัทฯ จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ยาไทยตัวใหม่จาก สมุนไพรกระชายดำ ซึ่งคาดว่าจะทำให้เราสามารถสร้างความเป็นอันดับ 1 ผู้นำยาจากสมุนไพรไทยได้อย่างแน่นอน ภก.สุวิทย์ กล่าวปิดท้าย