นางปัทมา วงษ์ถ้วยทอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด (มหาชน) หรือ SOLAR ผู้นำในการผลิตแผ่นเซลล์และแผงเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดมัลติ-คริสตัลไลน์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้เปิดเผยว่าขณะนี้โรงงานผลิตแผ่นเซลล์และแผงแสงอาทิตย์ของบริษัทฯ ซึ่งมีกำลังการผลิตขนาด 70 เมกะวัตต์ต่อปี ตั้งอยู่ที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ใช้งบประมาณในการก่อสร้างมูลค่า 1,500 ล้านบาท ขณะนี้มีความพร้อมที่จะผลิตและจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ เพื่อรองรับโครงการ Roof Top ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนแล้ว
การที่โรงงานสามารถผลิตและจำหน่ายได้แล้วนี้ ทำให้ SOLAR กลายเป็นผู้ประกอบการรายเดียวในไทย ที่สามารถดำเนินธุรกิจด้านพลังงานทดแทนได้ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำคือเริ่มตั้งแต่การนำเวเฟอร์มาผลิตเป็นแผ่นเซลล์แสงอาทิตย์และแผงเซลล์แสงอาทิตย์ไปจนถึงการเป็นผู้ให้บริการแบบครบวงจรคตั้งแต่สำรวจ ออกแบบและติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Engineering, procurement and Construction: EPC) รวมถึงรื้อถอนระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และแผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่เสื่อมสภาพและติดตั้งทดแทนระบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
ต่อประเด็นดังกล่าวทำให้ บมจ.โซลาร์ตรอน กลายเป็นผู้ประกอบการที่มีเทคโนโลยีเป็นของตนเองสามารถตอบสนองลูกค้าที่มีความต้องการขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคและการไฟฟ้านครหลวง แบบครบวงจร
“บริษัทฯ ได้พัฒนาระบบการผลิตจนเป็นที่ยอมรับจากต่างประเทศสินค้าของบริษัทฯ ประเภทแผงเซลล์แสงอาทิตย์ทุกรุ่นได้รับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์จากสถาบัน TUV Rheinland ประเทศเยอรมันนีซึ่งเป็นสถาบันที่ได้รับการยอมรับสูงสุดจากทั่วโลกและยังได้รับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) กระทรวงอุตสาหกรรม จึงทำให้แผงเซลล์แสงอาทิตย์ของบริษัทฯ เป็นที่ยอมรับทั้งจากลูกค้าในและต่างประเทศ ว่าเป็นแผงที่ปลอดภัยและรับประกันประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าตลอดระยะเวลา 25 ปี” นางปัทมา กล่าว
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการปีนี้บริษัทฯ คาดว่ารายได้จะเติบโตไม่น้อยกว่า 30% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 1,183.81 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ โดยรับรู้รายได้จากการติดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของ บมจ.บางจาก ปิโตรเลียม (BCP) โครงการระยะที่ 2 ขนาด 50 เมกะวัตต์และยังสามารถบริหารต้นทุนในการขายได้ดีขึ้นจึงทำให้มีอัตรากำไรเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ขณะเดียวกันผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ยังออกมาในทิศทางที่ดี โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 97% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนทำได้ 47 ล้านบาท