PwC โชว์รายได้ปี 56 ทำนิวไฮ ทะลุ 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตั้งเป้าลงทุนกว่า 1 พันล้านเหรียญฯ ในตลาดเกิดใหม่ใน 3 ปี

02 Oct 2013

กรุงเทพฯ--2 ต.ค.--PwC ประเทศไทย

PwC (ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส) บริษัทผู้ให้บริการด้านการตรวจสอบบัญชี บริการให้คำปรึกษาด้านภาษี และบริการให้คำปรึกษาทางธุรกิจรายใหญ่ของโลก เปิดเผยถึงผลการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัททั่วโลกในรอบปี 2556 (สิ้นสุด ณ 30 มิถุนายน 2556) ว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง โดยมีรายได้รวม 3.21 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถือเป็นรายได้รวมสูงสุดเท่าที่บริษัทเคยมีมา หรือคิดเป็นอัตราเติบโตที่ 4%

สำหรับผลการดำเนินงานแยกตามภูมิภาค แบ่งเป็น ทวีปอเมริกาใต้และอเมริกากลาง รายได้เพิ่มขึ้น 9.4%, อเมริกาเหนือและแคริบเบียน รายได้เพิ่มขึ้น 7.3% โดยทั้งสองภูมิภาคนี้มีรายได้เติบโตมากที่สุดติดต่อกันเป็นปีที่ 3 ตามด้วย กลุ่มประเทศตะวันออกกลางและแอฟริกา รายได้เพิ่มขึ้น 6.8%, ยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก รายได้เพิ่มขึ้น 2.6%, กลุ่มประเทศในแถบเอเชีย รายได้เพิ่มขึ้น 2.1% และยุโรปตะวันตกเพิ่มขึ้น 1.5% ในขณะที่รายได้ของ PwC ในออสตราเลเซียและหมู่เกาะแปซิฟิกปรับตัวลดลง 0.9%

ในปัจจุบัน PwC มีรายได้จากตลาดเกิดใหม่ (Developing markets) คิดเป็นสัดส่วน 20% ของรายได้รวมทั่วโลก และบริษัทคาดว่าจะสามารถเพิ่มสัดส่วนรายได้จากตลาดนี้ให้เป็น 40% ได้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า

ด้าน นาย เดนนิส แนลลี่ ประธานบริษัท PricewaterhouseCoopers International Ltd กล่าวถึงความสำเร็จของการดำเนินงานในปีที่ผ่านมาว่า ความสามารถของกลุ่มบริษัทในการเพิ่มรายได้ในทุกๆตลาดหลัก ไม่ว่าจะเป็นงานด้านการตรวจสอบบัญชี ภาษี และที่ปรึกษาทางธุรกิจท่ามกลางสภาวะแวดล้อมที่ท้าทายของเศรษฐกิจโลก ถือเป็นบทพิสูจน์ความไว้วางใจของลูกค้า ที่มีต่อคุณภาพและบริการของ PwC รวมถึง ความรู้ ความสามารถของบุคลากร และความเข้มแข็งของเครือข่าย PwC ทั้งหมด

“รายได้ของกลุ่มบริษัทเรายังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีที่ผ่านมา แม้จะมีปัจจัยความกังวลเรื่องทิศทางเศรษฐกิจโลกและการแข่งขันทางธุรกิจที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น” นาย เดนนิส กล่าว

“เรามีแผนที่จะขยายการลงทุนกว่า 1 พันล้านเหรียญฯ ไปในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยจะมุ่งเน้นไปที่การขยายตลาด Emerging ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงเป็นหลัก รวมทั้ง การพัฒนาของบริการในด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น บริการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (Cyber security) และการประกันความเสี่ยงต่างๆ (Risk assurance)” เขา กล่าว

นาย ศิระ อินทรกำธรชัย ประธานกรรมการบริหารและหุ้นส่วนบริษัท PwC ประเทศไทย กล่าวว่า แม้ว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา (Developing markets) จะเห็นสัญญาณของการชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี คาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของกลุ่มประเทศเหล่านี้จะยังคงสามารถขยายตัวนำหน้ากลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว (Established economies) ได้ในระยะข้างหน้า

“5 ปีหลังจากที่โลกต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาวิกฤตหนี้ การชะลอตัวทางเศรษฐกิจ เหตุการณ์ภัยพิบัติต่างๆ ตอนนี้เราเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่เป็นบวกในหลายๆประเทศ อเมริกาและญี่ปุ่นเอง เริ่มกลับมาเห็นการเติบโตอีกครั้ง ในขณะที่กลุ่มประเทศอียูก็ค่อยๆกลับมาฟื้นตัวอย่างช้าๆจากภาวะถดถอย” นาย ศิระกล่าว

“เพราะฉะนั้นในอนาคต เรายังมีมุมมองที่เป็นบวกต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลก โดยเราคาดการณ์ว่า GDP ลกจะสามารถขยายตัวได้ 3% ในปีหน้า” เขากล่าว

ในส่วนของผลการดำเนินงานของบริษัทไทยในปีที่ผ่านมา นายศิระกล่าวว่า PwC ประเทศไทยถือเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่าย PwC ที่มีบทบาทสำคัญที่ทำให้รายได้รวมของบริษัทในเอเชียเติบโตกว่า 3.7 พันล้านเหรียญฯ

“ทิศทางที่เราจะเดินต่อไปในระยะข้างหน้าจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงในปีนี้ นั่นคือ เราจะขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตไปกับเครือข่ายของ PwC ระดับโลก โดยรักษาความเป็นลีดเดอร์ทางธุรกิจ ในขณะเดียวกัน เราจะมุ่งหาช่องทางและโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆในการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน โดยใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้และเครือข่าย PwC กว่า 157 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ เรายังตั้งเป้าที่จะขยายฐานลูกค้าภายในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจ SME ไปพร้อมๆกับดูแลสัดส่วนลูกค้าปัจจุบันของเราในไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มบริษัทข้ามชาติ องค์กรขนาดใหญ่ และ รัฐวิสาหกิจ” นาย ศิระกล่าว

นอกเหนือไปจากความมุ่งมั่นในการเพิ่มรายได้ของบริษัท นายศิระกล่าวว่า PwC ยังให้ความสำคัญกับการเป็นองค์กรที่ลงทุนในเรื่องของการพัฒนาผู้นำ โดยจะเห็นได้จากปีงบประมาณที่ผ่านมา เครือข่ายPwCทั่วโลกได้ว่าจ้างพนักงานใหม่กว่า 38,000 คน เพิ่มขึ้น2% จากปีก่อน ที่ประมาณ 180,000 คน ส่งผลให้จำนวนพนักงานทั่วโลกมีจำนวนมากกว่า 184,000 คนในปัจจุบัน และในปี 2557 PwC ยังมีแผนที่จะจ้างบัณฑิตมากขึ้นเป็นลำดับ

PwC กับ ‘ธุรกิจสามเสาหลัก’

สำหรับการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมและสายธุรกิจ แบ่งเป็น ธุรกิจตรวจสอบบัญชี (Assurance practice) มีอัตราการเติบโตของรายได้เพิ่มขึ้น 1.5% เป็น 1.48 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ท่ามกลางสภาวะการแข่งขันที่รุนแรงของตลาดธุรกิจตรวจสอบบัญชี นอกจากนี้ ดีมานต์ของบริการทางด้านการตรวจสอบบัญชีในรูปแบบอื่นๆ ก็มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การรายงานความเสี่ยง (Risk reporting) และการประเมินผลกระทบรวม (Total impact measurement)

ในส่วนของ ธุรกิจที่ปรึกษา (Advisory) ยังมีอัตราการขยายตัวที่แข็งแกร่ง โดยมีรายได้รวมสูงขึ้น 8% เป็น 9.2 พันล้านดอลลาร์ฯในปีที่ผ่านมา อันเนื่องมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นในบริการให้คำปรึกษาทางกลยุทธ์ (Strategy consulting) และผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของดีล (Deals) ในปีที่ผ่านมา แม้ว่าอัตราการควบรวมกิจการทั่วโลก (Mergers and acquisitions) จะอยู่ในระดับต่ำ โดยในปัจจุบัน สัดส่วนรายได้ของธุรกิจที่ปรึกษาของบริษัทคิดเป็น 29% ของรายได้รวมของ PwC ทั่วโลก

นอกจากนี้ รายได้รวมของสายงานด้านภาษี (Tax) ก็ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นปีที่ 3 โดยเพิ่มขึ้น 5% มาที่ 8.2 พันล้านเหรียญฯ ในงวดปีที่ผ่านมา โดยบริษัทคาดว่า ความต้องการของบริการทางด้านภาษีจะยังคงความแข็งแกร่งในปีนี้ สืบเนื่องจากดีมานต์ในบริการให้คำปรึกษาด้านการปฏิบัติตามหลักภาษี (Tax compliance) และการให้คำปรึกษาทางด้านภาษีอื่นๆที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก นายศิระ กล่าวสรุปว่า PwC ให้บริการลูกค้าขนาดใหญ่ทั่วโลกที่ถูกจัดอันดับให้อยู่ในกลุ่มฟอร์จูน โกลบอล 500 (Fortune Global 500 List) ถึง 84% และกลุ่ม เอฟที โกลบอล 500 (Financial Times Global 500) อีก 90% -นท-

สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net