บลจ.ไทยพาณิชย์ ปลื้มกองทุนส่วนบุคคลก้าวสู่อันดับ 1 สินทรัพย์เกือบแสนล้านบาท

05 Mar 2014
นายพจน์ หะริณสุต รองกรรมการผู้อำนวยการ กลุ่มธุรกิจลูกค้าบุคคลและสถาบัน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยถึง ภาพรวมของกองทุนส่วนบุคคล หรือ Private Fund ภายใต้การบริหารจัดการของบลจ.ไทยพาณิชย์ว่า ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ในการขยายตลาดกองทุนส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาขยายตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 30 เท่า จากที่เคยมีสินทรัพย์สุทธิ 3,000 ล้านบาท ในปี 2552 และปัจจุบัน ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2557 มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการทั้งสิ้นประมาณ 95,000 ล้านบาท ส่งผลทำให้บลจ.ไทยพาณิชย์มีส่วนแบ่งตลาดขึ้นเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมกองทุนส่วนบุคคล โดยอยู่ที่ 20%

สำหรับสาเหตุที่ บลจ.ไทยพาณิชย์ สามารถก้าวขึ้นสู่อันดับ 1 ได้นั้นเนื่องมาจากได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าสถาบันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการศึกษา กลุ่มธุรกิจประกันภัย ประกันชีวิต และองค์กรต่างๆ รวมถึงบริษัทขนาดใหญ่ และหน่วยงานของรัฐ ตลอดจน จุดเด่นของบลจ.ไทยพาณิชย์ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งในด้านการจัดสรรสินทรัพย์และวางกลยุทธ์การลงทุน (Asset Allocation & Investment Strategy) ด้านการลงทุนต่างประเทศ โดยมี International investment advisor ชั้นนำของโลกเป็นที่ปรึกษา นอกจากนี้การเป็นหนึ่งในผู้นำในตลาดที่มี Market Capitalization ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ที่ประมาณ 869,000 ล้านบาท ทำให้มี economy of scale ในการลงทุนและมีอำนาจต่อรองสูง และอีกปัจจัยที่ขาดไม่ได้คือการเป็นบริษัทในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ นอกจากนี้ยังมี know-how ระบบการปฏิบัติงาน การบริหารความเสี่ยงที่เป็น world-class จากธนาคารที่มีความแข็งแกร่งมามากกว่า100 ปี

นายพจน์ กล่าวว่า ในปี 2557 บลจ.ไทยพาณิชย์ ตั้งเป้าที่จะรักษาความเป็นผู้นำอันดับ 1 ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลไว้อย่างต่อเนื่อง โดยวางแผนการเติบโตประมาณ 23% และคาดว่าจะมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารงาน 100,000 ล้านบาท จากการรุกขยายตลาด ซึ่งเป็นครั้งแรกของธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลที่จะมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารแตะแสนล้าน จากการรุกขยายตลาดธุรกิจประกันภัย ประกันชีวิต ตลาดสถาบันการศึกษา และบริษัทมหาชน

“กองทุนส่วนบุคคลจะมีการเจริญเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากปัจจุบันผู้ดูแลเงินหรือคณะกรรมการการลงทุนในสถาบัน บริษัทเอกชน องค์กรต่างๆ มีแนวโน้มที่จะว่าจ้างมืออาชีพบริหารงานมากขึ้น ในขณะที่บริษัทฯเองก็มีนโยบายในการให้ความรู้และอบรมแก่ลูกค้าเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะช่วยให้มีอัตราการขยายตัวของการใช้บริการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว” นายพจน์ กล่าว