บลจ.ยูโอบี ตั้งเป้าเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมก้าวสู่ความเป็นผู้นำระดับภูมิภาค

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

          ในปี 2556 ที่ผ่านมา มูลค่าทรัพย์สินภายใต้การจัดการของ บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด เติบโตขึ้นประมาณ 18,000 ล้านบาท จนทำให้ปัจจุบันมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการทั้งสิ้นประมาณ 220,000 ล้านบาท ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 6 ในอุตสาหกรรมกองทุน (ข้อมูล ณ 31 ธ.ค. 2556) เดินหน้าธุรกิจด้วยกลยุทธ์การบริหารธุรกิจที่เน้นให้องค์กรและการลงทุนของลูกค้าเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน ตั้งเป้าปีนี้มูลค่าทรัพย์สินภายใต้การจัดการเพิ่มขึ้นอีก 20% 

          นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า “บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด มีความพร้อมที่จะขยายธุรกิจเชิงรุกด้วยประสบการณ์ความเชี่ยวชาญด้านการลงทุน ช่องทางการจัดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งการเชื่อมโยงกับพันธมิตรในระดับภูมิภาค เพื่อความหลากหลายของตัวเลือกการลงทุน จึงส่งผลให้ในปีที่ผ่านมามูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าภาวะการลงทุนจะมีความผันผวน แต่ลูกค้ายังคงให้ความมั่นใจและไว้วางใจในการบริหารกองทุน”

          ในปีที่ผ่านมา มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการของแต่ละธุรกิจนั้นเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยธุรกิจกองทุนรวมมีขนาดสินทรัพย์กว่า แสนล้านบาท เติบโตถึง 9% มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 8 กองทุนส่วนบุคคลมีขนาดสินทรัพย์กว่า 5 หมื่นล้านบาทเช่นกัน โดยขยายตัวเพิ่มขึ้น 5% ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ในอุตสาหกรรมกองทุนส่วนบุคคล ส่วนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 13% ถือเป็นอันดับ 6 ของอุตสาหกรรมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพด้วยมูลค่าสินทรัพย์กว่า 6 หมื่นล้านบาท (ข้อมูล ณ 31 ธ.ค. 2556) 

          นอกจากมูลค่าสินทรัพย์ของแต่ละกลุ่มธุรกิจที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแล้ว ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เรายังได้เชื่อมโยงกับสาขาอื่นๆ ในภูมิภาค และร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรในระดับภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าเป็นการเตรียมความพร้อมที่สอดคล้องกับแผนขยายธุรกิจเพื่อรองรับการลงทุนจากนักลงทุนของต่างชาติ หลังจากที่ ก.ล.ต.ได้ร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลตลาดทุนมาเลเซีย และสิงคโปร์ เพื่อเปิดให้มีการเสนอขายกองทุนรวมข้ามประเทศในอาเซียน (ASEAN Collective Investment Scheme Framework: ASEAN CIS Framework) 

          นายกรวุฒิ ลีนะบรรจง กรรมการผู้จัดการ สายการลงทุน ได้ให้มุมมองสำหรับภาวะเศรษฐกิจและทิศทางการลงทุนในปีนี้ ว่า เศรษฐกิจโลกโดยรวมยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดย IMF ได้ประมาณการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโต 3.7% ในปี 2557 และ 3.9% ในปี 2558 สำหรับเศรษฐกิจสหรัฐฯ คาดว่าจะเติบโตได้มากกว่า 2% และสูงกว่าปีก่อนหน้า โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการบริโภค ภาคที่อยู่อาศัย และการจ้างงานที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตามการปรับลดมาตรการผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐจาก 8.5 หมื่นล้าน เป็น 6.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้นักลงทุนบางส่วนมีความกังวลต่อผลกระทบถึงแม้จะเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ เศรษฐกิจยูโรโซนยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและผ่านช่วงเศรษฐกิจถดถอยแล้วถึงแม้การฟื้นตัวจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากภาคการเงินมีเสถียรภาพมากขึ้น และธนาคารกลางยุโรปยังคงมีนโยบายการเงินผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง สำหรับภูมิภาคเอเชีย เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มดีขึ้นจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีอาเบะ (Abenomic) ค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงส่งผลเชิงบวกต่อการส่งออกของญี่ปุ่น สำหรับเศรษฐกิจจีนนั้น คาดว่าจะยังเติบโตในระดับ 7-8 %ต่อปี ถึงแม้จะมีแนวโน้มชะลอลงเล็กน้อยตามเป้าหมายของรัฐบาลที่เน้นการเติบโตที่มีเสถียรภาพ ปัญหาสภาพคล่องและเครดิตในภาคการเงินของจีนจะยังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาดจีนในปีนี้ 
          นอกจากนี้ นักลงทุนอาจนำเงินลงทุนบางส่วนไปลงทุนต่างประเทศเพื่อกระจายความเสี่ยง ความกังวลเกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจและค่าเงินของประเทศเกิดใหม่บางประเทศ เช่น อาร์เจนตินา รัสเซีย ตุรกี ส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกเริ่มมีความกังวลและนำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นของประเทศพัฒนาแล้วมากขึ้น ทาง บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด มีมุมมองว่าภูมิภาคที่น่าสนใจในปีนี้คือกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ยุโรปและญี่ปุ่น เนื่องจากเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวต่อเนื่องในขณะที่ราคาหุ้นยังไม่สูงเกินไปนักโดยดัชนีนิกเคอิของญี่ปุ่นมี P/E ประมาณ 18.2 เท่าในปีนี้เทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตที่สูง 38 เท่า สำหรับดัชนี MSCI Euro คาดว่าจะมี P/E ประมาณ 12.7 เท่าในปีนี้ เทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 14 เท่า และกำไรของบริษัทต่างๆ ในภูมิภาคดังกล่าวน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและอยู่ในภาวะฟื้นตัว ในขณะที่ตลาดหุ้นไทยในปี 2557 อาจต้องเผชิญกับความผันผวนระยะสั้นจากสถานการณ์การเมืองภายในประเทศ แต่ในระยะกลางและระยะยาว ตลาดหุ้นไทยยังคงมีแนวโน้มเติบโตได้จากอัตราการขยายตัวของกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีปัจจัยสนับสนุนจากการบริโภคและการลงทุนที่เพิ่มขึ้น คาดการณ์การเติบโตของผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยจะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 10-15% ในขณะที่มูลค่าหุ้นไทยยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก โดย P/E ประมาณ 11.5 เท่า ซึ่งยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค และ SET Index น่าจะมีโอกาสปรับตัวสู่ระดับ 1,400-1,450 จุดในปี 2557 นี้

          นางสาวณัชชา สุนทรธาราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ สายพัฒนาธุรกิจ ได้ตอกย้ำถึงแผนการตลาดในปีนี้ว่า “ด้วยความพร้อมขององค์กร การขยายฐานลูกค้าของแต่ละกลุ่มธุรกิจจึงกว้างมากขึ้น ทั้งกลุ่มลูกค้าส่วนบุคคลและลูกค้าสถาบันทั้งในและต่างประเทศ ด้วยกลยุทธ์การนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละกลุ่ม รวมถึงกองทุนที่มีผลตอบแทนที่โดดเด่น และผลิตภัณฑ์ที่เฉพาะเจาะจง พร้อมด้วยบริการที่เป็นเลิศ และได้รับความร่วมมือด้วยดีจากพันธมิตรการลงทุนและตัวแทนจำหน่ายที่มีศักยภาพ”

          เราตระหนักว่าสิ่งที่สำคัญในการขยายธุรกิจอย่างมั่นคง คือการบริหารกองทุนที่โดดเด่น และนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนที่เหมาะสมกับลูกค้า ล่าสุดกองทุนรวมหุ้นไทยที่มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น จนได้รับการจัดอันดับ 5 ดาว จากมอร์นิ่งสตาร์ (ประเทศไทย)* ได้แก่ กองทุนเปิด ยูโอบี สมาร์ท ดิวิเดนด์ โฟกัส อิควิตี้ ฟันด์ (UOBSDF), กองทุนเปิด ไทย บาลานซ์ ฟันด์ (TBF) และกลุ่มกองทุน LTF ซึ่งได้รับการจัดอันดับถึง 3 กองทุนจาก 5 กองทุนภายใต้การจัดการของ บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด ได้แก่ กองทุนเปิด Big Cap ปันผล หุ้นระยะยาว (BIG CAP-D LTF), กองทุนเปิด บรรษัทภิบาล หุ้นระยะยาว (CG-LTF), กองทุนเปิด แวลูพลัส ปันผล หุ้นระยะยาว (VALUE-D LTF) ส่วนการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อนำเสนอให้เหมาะสมกับลูกค้านั้น เรามีทีมงานที่ทำหน้าที่วิเคราะห์ เพื่อสรรหาผลิตภัณฑ์การลงทุนทั้งที่สามารถลงทุนได้ทุกภาวะตลาดคือ กลุ่มกองทุน Core Fund ที่ได้เริ่มนำเสนอตั้งแต่ปี2012 และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีด้วยยอดเงินลงทุนใหม่กว่า 5 พันล้านบาท และในปีนี้เองได้แนะนำกองทุนเพิ่มเติม คือ กองทุนเปิด ไทย บาลานซ์ ฟันด์ (TBF) ที่มีนโยบายการลงทุนผสม เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ไม่ต้องการรับความผันผวนของกองทุนหุ้นได้ทั้งหมด แต่ต้องการผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากการลงทุนตราสารหนี้บ้างในภาวะตลาดหุ้นไทยยังคงมีแนวโน้มเติบโตได้ นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์การเงินทางเลือกเพื่อสร้างโอกาสการลงทุนเพิ่มขึ้นด้วยการจับจังหวะการลงทุนให้เหมาะสมในแต่ละภาวะตลาดอีกด้วย 

          ปีที่ผ่านมาฐานลูกค้าได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยกองทุนรวมมีลูกค้าเพิ่มขึ้น 13% กองทุนส่วนบุคคลมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นถึง 20% ในขณะที่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้นได้รับความไว้วางใจทั้งจากลูกค้าสถาบันรายใหญ่และบริษัทเอกชนชั้นนำ โดยมีการจดทะเบียนเพิ่มนายจ้างใหม่ ทำให้เพิ่มขึ้นถึง 15% จากความสำเร็จดังกล่าว เราจึงยังคงตอกย้ำกลยุทธ์แบ่งกลุ่มลูกค้า ซึ่งทำให้สามารถจัดสรรผลิตภัณฑ์และจัดให้มีทีมงานมืออาชีพที่สามารถให้คำปรึกษาและแนะนำการลงทุนเชิงลึกเพื่อให้ตรงตามแต่ละวัตถุประสงค์การลงทุนที่แตกต่างกัน เช่นเดียวกับการพัฒนางานบริการที่เป็นเลิศ ด้วยการริเริ่มพัฒนาระบบการทำรายการผ่านออนไลน์หรือผ่านระบบโทรศัพท์ (Mutual Fund by Phone) สำหรับบางกองทุน รวมไปถึงความร่วมมือกับสถาบันการเงิน Morningstar Thailand จัดงานสัมมนาเพื่อให้ความรู้กับนักลงทุนและผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืน เพราะตระหนักดีว่าการตัดสินใจลงทุนนั้น ต้องพิจารณามากกว่าผลตอบแทนเพียงปัจจัยเดียว 

          นายวนา พูลผล ได้กล่าวเพิ่มเติมในตอนท้ายว่า “ด้วยความพร้อมทั้งด้านความเชี่ยวชาญทางการลงทุน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ ความพร้อมด้านบุคลากรทีมงานและพันธมิตรการลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญในระดับภูมิภาค คาดการณ์เป้าหมายธุรกิจในปีนี้จะโตอีก 20% และจะขยายธุรกิจเชิงรุกด้วยการแสวงหาโอกาสสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนให้กับลูกค้าและพันธมิตร เพื่อพร้อมจะก้าวเป็นผู้นำของบริษัทจัดการกองทุนระดับภูมิภาค (Regional Premier Asset Management)”

          หมายเหตุ *ที่มา www.morningstarthailand.com ข้อมูล ณ 3 กุมภาพันธ์ 2557 ซึ่งมีหลักเกณฑ์การจัดอันดับที่มิได้คำนึงถึง ผลตอบแทนเพียงอย่างเดียว หากแต่มีการพิจารณาผลตอบแทนที่ปรับด้วยความเสี่ยง รวมทั้งหักต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง จากนั้นจึงนำไปเปรียบเทียบกับกองทุนที่มีกลยุทธ์การลงทุนเหมือนกัน
บลจ.ยูโอบี ตั้งเป้าเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมก้าวสู่ความเป็นผู้นำระดับภูมิภาค
 

ข่าวอุตสาหกรรม+วนา พูลผลวันนี้

สกพอ. ผนึกกำลัง สวทช. และ กนอ. บุกโรดโชว์เนเธอร์แลนด์ รุกตลาดยุโรปดึงบริษัทชั้นนำ ลงทุนอุตสาหกรรมสีเขียวพื้นที่อีอีซี

ดร. จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) นำคณะ เดินทางไปราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 8 15 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา เพื่อชักชวนการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรม Bio-Circular-Green (BCG) โดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ อาหาร เคมีชีวภาพ และอุตสาหกรรมหมุนเวียน โดยคณะฯ ได้ประชุมร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของกลุ่มบริษัทชั้นนำด้านการเกษตรอัจฉริยะ ได้แก่

ก.ล.ต. เปิดรับฟังความเห็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์การคัดเลือกสินทรัพย์ดิจิทัลมาให้บริการในศูนย์ซื้อขายฯ เพื่อให้สอดคล้องกับพัฒนาการของอุตสาหกรรม

ก.ล.ต. เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อหลักการในการปรับปรุงหลักเกณฑ์การคัดเลือกสินทรัพย์ดิจิทัลมาให้บริการ ในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (ศูนย์ซื้อขายฯ) เพื่อ...

Alipay+ ประสบความสำเร็จในการทำธุรกรรมชำระ... Alipay+ เปิดตัวโซลูชันชำระเงินผ่านแว่นตาอัจฉริยะครั้งแรกของโลก — Alipay+ ประสบความสำเร็จในการทำธุรกรรมชำระเงินผ่านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์บนแว่นตาอัจฉริย...

SolarEdge ผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีพลังง... SolarEdge เตรียมจัดแสดงนวัตกรรมพลังงานอัจฉริยะในงาน ASEAN Sustainable Energy Week 2025 (ASEW) — SolarEdge ผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีพลังงานอัจฉริยะ เตรียม...