“วัคซีน” ถือเป็นความสำเร็จด้านการแพทย์สมัยใหม่ที่ช่วยในการป้องกันและควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ วัคซีนทำให้ประชากรโลกมีอายุยืนยาวขึ้น สามารถป้องกันการตายได้กว่าปีละ 15 ล้านคน หลายประเทศทั่วโลกจึงให้ความสำคัญกับการผลิตวัคซีนไว้ใช้เองเพื่อลดการพึ่งพาต่างประเทศ รวมทั้งประเทศไทย โดยเฉพาะวัคซีนพื้นฐานสำหรับเด็ก เพื่อปกป้องเด็กจากโรคร้ายต่างๆ ให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ
ศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจอาจารย์สาขาโรคติดเชื้อภาควิชากุมารเวชศาสตร์คณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดลในฐานะหน่วยงานเครือข่ายด้านการวิจัยพัฒนาและการผลิตวัคซีนในประเทศกล่าวว่าวัคซีนที่เคยวิจัยมีหลายชนิด เช่น วัคซีนโรต้า วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก วัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบเจอี วัคซีนคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ซึ่งพบว่าวัคซีนที่ประสบความสำเร็จอย่างกว้างขวางในการนำมาใช้ คือ วัคซีนคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน เพราะมีการใช้มานาน ปัญหาค่อนข้างน้อย มีความครอบคลุมในการให้บริการค่อนข้างสูง ส่วนวัคซีนโรต้าซึ่งเป็นวัคซีนป้องกันโรคอุจจาระร่วงอย่างรุนแรงในเด็ก ก็เป็นวัคซีนอีกชนิดหนึ่งที่กระทรวงสาธารณสุขมีแผนจะบรรจุเป็นวัคซีนพื้นฐานหรือวัคซีนภาคบังตามแผนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคแห่งชาติ ซึ่งได้มีโครงการนำร่องทดสอบการให้วัคซีนชนิดนี้ในพื้นที่ จ.สุโขทัยมาแล้วกว่า 2 ปี ผลการทดสอบวัคซีนเป็นที่น่าพอใจมาก มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคอุจจาระร่วงจากเชื้อไวรัสโรต้าอย่างรุนแรงได้ถึงร้อยละ 95 วัคซีนมีความปลอดภัยสูง ประชาชนให้การยอมรับและนำบุตรหลานมารับวัคซีนโรต้า เจ้าหน้าที่สามารถให้วัคซีนโรต้าพร้อมกับวัคซีนอื่นที่อยู่ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคได้เป็นอย่างดี และในอนาคตอันใกล้ก็จะเห็นเด็กไทยได้ใช้วัคซีนโรต้า ที่จะเป็นความสำเร็จพอๆ กับวัคซีนตับอักเสบบี วัคซีนคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ที่เด็กไทยทั่วประเทศได้ใช้อย่างครอบคลุม
ศ.พญ.กุลกัญญา กล่าวต่ออีกว่าหากจะให้บอกถึงประโยชน์ของวัคซีนสำหรับเด็กๆแล้วถือว่ามาหาศาลมาก วัคซีนเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการควบคุมและป้องกันโรค ช่วยให้เด็กรุ่นใหม่ปลอดภัยจากโรคมากมาย โดยเฉพาะวัคซีนพื้นฐานหรือวัคซีนตามแผนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคแห่งชาติ ซึ่งเด็กไทยทุกคนจำเป็นต้องได้รับวัคซีนเหล่านี้เพื่อควบคุมไม่ให้เกิดการระบาดของโรคร้ายอย่างในอดีต ถ้าหากไทยเราสามารถผลิตวัคซีนได้เองตั้งแต่ต้นจนได้ผลิตภัณฑ์โดยไม่ต้องพึ่งพาต่างประเทศก็จะดีมาก นอกจากจะช่วยให้เด็กทุกคนได้รับวัคซีนพื้นฐานอย่างทั่วถึงแล้ว เรายังมีวัคซีนเพียงพอที่จะใช้ในยามที่จำเป็นอีกด้วย โดยการใช้วัคซีนในการควบคุมป้องกันโรค มี 2 ประเภท คือ 1. การใช้ในสถานการณ์ปกติ เป็นการป้องกันทั้งก่อนและหลังการสัมผัสกับโรค และ 2. การใช้ในสถานการณ์กรณีฉุกเฉิน
“ประเทศไทยมีเด็กเกิดใหม่ปีละ 800,000 คน ทุกปี เด็กไทยทั่วประเทศควรได้รับวัคซีนซึ่งเป็นวัคซีนพื้นฐานฟรี ได้แก่ วัคซีน ตับอักเสบบี วัคซีน คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน วัคซีนหัด หัดเยอรมัน คางทูม วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี การผลิตวัคซีนได้เองภายในประเทศจึงเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นอย่างมาก เพราะจะช่วยให้เด็กไทยทุกคนมีโอกาสเข้าถึงวัคซีนได้อย่างเท่าเทียมได้รับการปกป้องจากโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีนและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ การซื้อวัคซีนจากต่างประเทศ ควรใช้เป็นวิธีสำรองเมื่อเรามีปัญหาในการผลิตบางปี หรือบางตัวที่เรายังผลิตไม่ได้” ศ.พญ.กุลกัญญากล่าวย้ำในตอนท้าย
ด้านดร.นพ.จรุง เมืองชนะ ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน)กล่าวว่าวัคซีนเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการควบคุมและป้องกันโรค สำหรับประเทศไทยรัฐบาลได้ประกาศนโยบายและแผนยุทธศาสตร์วัคซีนแห่งชาติสนับสนุนให้มีการผลิตวัคซีนได้เองภายในประเทศ และได้มีการตั้งสถาบันวัคซีนแห่งชาติมาทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย แนวทางการส่งเสริมและการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อการวิจัย ส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตวัคซีน โดยร่วมมือกับหน่วยงานเครือข่ายที่ทำการวิจัยพัฒนา ผลิต ควบคุมคุณภาพ และการใช้วัคซีนซึ่งประกอบด้วยหน่วยงานคุณภาพต่างๆ ได้แก่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.), กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, กรมควบคุมโรค, องค์การเภสัชกรรม, สถานเสาวภา สภากาชาดไทย, สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ, ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ของประเทศไทย, บริษัทไบโอเนท-เอเชีย จำกัด, มหาวิทยาลัยหลายแห่ง เป็นต้น เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนและผลักดันการพัฒนางานด้านวัคซีนของประเทศให้มีเข้มแข็งและก้าวหน้า เพื่อประโยชน์ในการพึ่งพาตนเองสร้างความมั่นคงด้านวัคซีนในการมีวัคซีนพื้นฐานไว้ใช้ทั้งในภาวะจำเป็นและฉุกเฉิน และนอกจากนี้จะมีการสร้างความร่วมมือในระดับนานาชาติด้วย เช่น ความร่วมมือระดับภูมิภาคอาเซียน เป็นต้น
“ทั้งนี้จากการทบทวนสถานการณ์การวิจัยพัฒนาเพื่อการผลิตวัคซีนของประเทศ นโยบายและแผนยุทธศาสตร์วัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2548 พบว่าวัคซีนที่ประเทศควรผลิตเองตั้งแต่ต้นมี 5 ชนิด ได้แก่ 1) วัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบเจอี (JE) 2) วัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-ตับอักเสบบี (DTP-HB) 3) วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ (Seasonal influenza และ Pandemic influenza) 4) วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก (Dengue) 5) วัคซีนป้องกันวัณโรคชนิดใหม่ (New TB) ซึ่งการที่ประเทศไทยจะสามารถผลิตวัคซีนได้เองและสามารถส่งออกได้ หน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนต้องหันมาช่วยกัน สนับสนุนผู้ผลิตซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพด้านการผลิตวัคซีนเท่าเทียมกับต่างประเทศ มีบุคลากรที่มีศักยภาพเทียบเท่ากับต่างประเทศ เพียงแค่ขาดการสนับสนุนที่จริงจังเท่านั้นเอง” ดร.นพ.จรุงกล่าวทิ้งท้าย
มูลนิธิวัคซีนเพื่อประชาชน ร่วมกับ สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย เชิญชวนเสริมสร้างภูมิคุ้มกันเด็กไทย สู่อนาคตที่ห่างไกลจาก IPD เนื่องในวันปอดอักเสบโลก
สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย ร่วมกับ มูลนิธิวัคซีนเพื่อประชาชน ขอเชิญรับชมการถ่ายทอดสด งานแถลงข่าว โครงการเสริมภูมิคุ้มกันเด็กไทย สู่อนาคตที่ห่างไกลจาก IPD
มูลนิธิวัคซีนเพื่อประชาชน ผนึก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย รณรงค์ ป้องกัน รู้ทันโรค IPD และปอดอักเสบ เนื่องในวันปอดอักเสบโลก (World Pneumonia Day 2022)
ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ฯร่วมกับสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย เผย “ความก้าวหน้าการรักษา HIV ในปัจจุบัน”ลดลง
ภาพข่าว: สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย จัดการประชุมใหญ่ครั้งที่ 20 เพื่อแบ่งปันและพัฒนาองค์ความรู้ด้านการรักษาให้แก่เด็กไทย