8 สมาคมชาวไร่ยาสูบผนึกกำลังยกระดับคุณภาพใบยาไทย ร้อง คสช. ช่วยปกป้องอาชีพ ยับยั้งร่างกฎหมายควบคุมยาสูบ ยันไม่ใช่นโยบายเร่งด่วน

01 Aug 2014
สมาคมผู้บ่ม ผู้เพาะปลูก และผู้ค้าใบยาสูบเชียงใหม่เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสมาคมชาวไร่และผู้บ่มใบยาสูบทั่วประเทศประจำปี 2557 ครั้งที่ 1 ณ โรงแรมเชียงใหม่แกรนด์วิว จังหวัดเชียงใหม่ โดยผู้เข้าร่วมประชุมจำนวนกว่า 70 คน ประกอบด้วยนายกสมาคมและผู้เกี่ยวข้องจากแปดสมาคมชาวไร่ยาสูบทั่วประเทศ ได้แก่ สมาคมผู้บ่มผู้เพาะปลูกและผู้ค้าใบยาสูบเชียงใหม่ สมาคมผู้บ่มผู้เพาะปลูกและผู้ค้าใบยาสูบลำปาง สมาคมผู้บ่มผู้เพาะปลูกและผู้ค้าใบยาสูบแพร่ สมาคมผู้บ่มผู้เพาะปลูกและผู้ค้าใบยาสูบเชียงรายและพะเยา สมาคมผู้บ่มผู้เพาะปลูกและผู้ค้าใบยาสูบน่าน สมาคมพัฒนาชาวไร่บ่มเองเชียงใหม่

สมาคมชาวไร่ยาสูบเบอร์เลย์สุโขทัย สมาคมชาวไร่ยาสูบเบอร์เลย์เพชรบูรณ์ ซึ่งที่ประชุมได้ประกาศกรอบความร่วมมือในการยกระดับคุณภาพใบยาไทยและปกป้องอาชีพพร้อมมีมติยื่นหนังสือเสนอ คสช. เพื่อยับยั้งร่างกฎหมายควบคุมยาสูบซึ่งไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนในขณะนี้แต่ถูกผลักดันโดยกลุ่มเอ็นจีโอที่พยายามเข้าไปแทรกแซงการทำงานของส่วนราชการ นายกฤษณ์ ผาทอง นายกสมาคมผู้บ่มผู้เพาะปลูกและผู้ค้าใบยาสูบเชียงใหม่และประธานในที่ประชุมเปิดเผยว่าประเทศไทยมีกำลังการผลิตใบยาสูบอยู่ที่ประมาณ 54 ล้านกิโลกรัมต่อปี เป็นการผลิตเพื่อส่งขายโรงงานยาสูบ กระทรวงการคลังและส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ ในปี 2555 มีการส่งออกใบยา 18.7 ล้านตัน นำรายได้เข้าชุมชนท้องถิ่นและประเทศคิดเป็นมูลค่ากว่า 2,300 ล้านบาท แต่ในขณะนี้ สมาคมชาวไร่ฯ ทั้ง 8 สมาคมฯ กำลังมีความกังวลต่อการพยายามผลักดันร่าง พ.ร.บ. ควบคุมการบริโภคยาสูบจากกลุ่มเอ็นจีโอที่ปรากฏในสื่ออย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มนักรณรงค์อ้างว่าจะเป็นการลดการบริโภคยาสูบได้และจะเร่งเสนอ คสช.ให้พิจารณาเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน “สมาคมชาวไร่ทั้ง 8 สมาคมขอคัดค้านร่างกฎหมายฉบับนี้ เพราะกฎหมายนี้มีผลกระทบอุตสาหกรรมยาสูบตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำด้วยเหตุผล 4 ประการคือ 1) ร่างกฎหมายกระทบต่อชาวไร่ยาสูบกว่า 52,000 ครอบครัวและร้านค้าปลีกอีกกว่า 500,000-600,000 ร้านทั่วประเทศซึ่งเป็นเศรษฐกิจรากหญ้า 2) กฎหมายฉบับนี้ยังมีปัญหาขัดแย้งกันอยู่กับทั้งชาวไร่ ร้านค้า ผู้ที่เกี่ยวข้อง และส่วนราชการต่างๆ รวมทั้ง กระทรวงการคลังเองก็แสดงความไม่เห็นด้วยกับกฎหมายดังกล่าวในหลายประเด็น 3) กฎหมายดังกล่าวไม่ใช่นโยบายเร่งด่วนของ คสช. อีกทั้งมีแต่จะสร้างภาระและผลกระทบกับชาวไร่และเศรษฐกิจท้องถิ่น 4) มีความพยายามฉวยโอกาสในช่วงที่ไม่มีสภาผู้แทนราษฎรผลักดันกฎหมายที่มีความสุดโต่งให้ผ่านโดยเร็วโดยไม่ฟังเสียงประชาชน” นายกฤษณ์ กล่าว

“ร่างฯ กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เป็นวาระเร่งด่วน อีกทั้งยังถูกเสนอโดยกลุ่มนักรณรงค์ต่อต้านที่มีอคติต่อชาวไร่ยาสูบและทำให้เกษตรกรที่ทำมาหากินโดยสุจริตต้องตกเป็นจำเลยสังคมอยู่ตลอดเวลา เรามองว่าร่างนี้สุดโต่งเกินไป ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ และมีผลกระทบหลายด้าน มาตรการต่างๆ เช่น การห้ามทำกิจกรรมช่วยเหลือสังคมซึ่งกระทบต่อชาวไร่ยาสูบ การช่วยเหลือบรรเทาสาธารณภัยแก่ชาวไร่ยาสูบเมื่อเกิดภัยธรรมชาติ หรือการจำกัดการติดต่อระหว่างภาครัฐและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมยาสูบ ประเด็นเหล่านี้แทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะชาวไร่และสมาคมฯ เองต้องติดต่อกับภาครัฐตลอด ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่จากสรรพสามิตและโรงงานยาสูบ” นายขจรศักดิ์ เมฆขจร นายกสมาคมพัฒนาชาวไร่บ่มเองเชียงใหม่ กล่าวเสริม

ทั้งนี้ สมาคมชาวไร่ทั้ง 8 สมาคมฯ จะส่งหนังสือถึง คสช. ขอให้ยับยั้งการออกกฎหมายนี้ไว้ก่อนจนกว่าจะมีรัฐบาลที่มีมาจากการเลือกตั้งและสภาผู้แทนราษฎรตามปกติเพราะไม่ใช่เรื่องจำเป็นเร่งด่วน และจะขอให้ คสช.และรัฐบาลชุดใหม่ช่วยดูแลปกป้องอาชีพของชาวไร่ยาสูบซึ่งเป็นเศรษฐกิจในระดับรากหญ้าและส่งเสริมยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไร่ยาสูบต่อไป

จากภาพ1. นางสาวสกาวรัตน์ โลหะโชติ นายกสมาคมผู้บ่มผู้เพาะปลูกและผู้ค้าใบยาสูบ จ. น่าน2. นายอลงกรณ์ ผาทอง นายกสมาคมผู้บ่มผู้เพาะปลูกและผู้ค้าใบยาสูบเชียงราย-พะเยา3. นายสุครีพ บุญชุ่ม นายกสมาคมชาวไร่ยาสูบเบอร์เล่ย์ จ. สุโขทัย4. นายสงกรานต์ ภักดีจิตร นายกสมาคมชาวไร่ยาสูบเบอร์เลย์ จ. เพชรบูรณ์5. นายขจรศักดิ์ เมฆขจร นายกสมาคมพัฒนาชาวไร่บ่มเองเชียงใหม่6. นายสุธี ชวชาติ นายกสมาคมผู้บ่มผู้เพาะปลูกและผู้ค้าใบยาสูบ จ. ลำปาง7. นายกฤษณ์ ผาทอง นายกสมาคมผู้บ่มผู้เพาะปลูกและผู้ค้าใบยาสูบ จ. เชียงใหม่8. นายมงคล กันทาธรรม นายกสมาคมผู้บ่มผู้เพาะปลูกและผู้ค้าใบยาสูบ จ. แพร่