ซีพีเอฟ ปรับแผนธุรกิจห้าดาวเร่งพัฒนาแฟรนไชส์เถ้าแก่เล็ก สร้างอาชีพคนไทย

30 Apr 2014
ซีพีเอฟ ปรับแผนธุรกิจห้าดาวจากการขยายเปิดธุรกิจด้วยตัวเอง เป็นเดินหน้าสร้างงานสร้างอาชีพโดยมุ่งพัฒนาแฟรนไชส์เถ้าแก่เล็ก” เพื่อเปิดโอกาสให้คนไทยเป็นเจ้าของธุรกิจและบริหารจัดเอง
ซีพีเอฟ ปรับแผนธุรกิจห้าดาวเร่งพัฒนาแฟรนไชส์เถ้าแก่เล็ก สร้างอาชีพคนไทย

นายสถิต สังขนฤบดี รองกรรมการผู้จัดการบริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ (Mr.Sathit Sangkanarubordee, Executive Vice President of Charoen Pokphand Foods PCL) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปี 2543 ที่ธุรกิจห้าดาวได้เริ่มปรับการบริหารจากที่บริษัทเคยทำด้วยตนเองทั้งหมด มาเป็นการดำเนินกิจการในรูปแบบแฟรนไชส์ ถือเป็นการเปลี่ยนบทบาทครั้งสำคัญสู่การเป็น ธุรกิจห้าดาว สร้างงานสร้างอาชีพ สร้างโอกาสให้กับผู้ที่ต้องการเป็นเถ้าแก่มีธุรกิจเป็นของตนเองโดยใช้เงินลงทุนไม่มากและมีระยะคืนทุนสั้น โดยเน้นมาตรฐานการผลิตสินค้าและบริการ จนถึงปัจจุบันซุ้มธุรกิจห้าดาวที่มีอยู่ในประเทศไทยเป็นการบริหารจัดการโดยผู้ประกอบรายย่อยทั้งหมด

บริษัทได้มีการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ธุรกิจห้าดาวในปี 2547 เพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศและให้การฝึกอบรมผู้ประกอบการแฟรนไชส์ห้าดาวให้ก้าวสู่ความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้บริษัทฯมีจำนวนผู้ประกอบการแฟรนไชส์แล้วกว่า 5,100 ซุ้ม พร้อมทั้งสร้างซุ้มครูฝึกธุรกิจห้าดาวกระจายอยู่ในทุกภาคทั่วประเทศอีก 525 ซุ้ม เพื่อผลักดันเถ้าแก่เล็กที่มีศักยภาพในการสอนงานที่ดี เป็นตัวแทนของบริษัทในการถ่ายทอดความรู้ที่เป็นมาตรฐานเดียวกันแก่ผู้ประกอบการรายใหม่ โดยปัจจุบันมีผู้ผ่านการฝึกอบรมแล้วกว่า 6,000 คน ตอกย้ำภาพลักษณ์การเป็นผู้นำแฟรนไชส์ ในรูปแบบซุ้มอาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทานภายใต้ “แบรนด์ห้าดาว”

ปัจจุบัน ธุรกิจแฟรนไชส์ห้าดาวมีความหลากหลายมากถึง 6 ประเภท ได้แก่ ไก่ย่างห้าดาว จำนวน 2,200 ซุ้ม ไก่ทอดห้าดาว จำนวน 1,750 ซุ้ม ข้าวมันไก่ 750 ซุ้ม บะหมี่เกี๊ยวกุ้ง 200 ซุ้ม เรดดี้มีล 100 ซุ้ม ไส้กรอกโรลเลอร์กริลล์ 100 ซุ้มดังนั้นเพื่อให้สามารถคงมาตรฐานที่ดีไว้อย่างต่อเนื่องบริษัทจึงจัดตั้งศูนย์เรียนรู้ธุรกิจห้าดาว ทั้งในภาคกลางและตะวันออก อีสาน เหนือ และใต้ พร้อมผลักดันให้เฒ่าแก่เล็กธุรกิจห้าดาวที่มีซุ้มอยู่ในทำเลทอง ได้ทำหน้าที่เป็นครูผู้ฝึกอบรมแก่เถ้าแก่เล็กห้าดาวทั่วประเทศ ให้สามารถดำเนินกิจการห้าดาวได้อย่างมีคุณภาพมาตรฐานเพื่อผู้บริโภค

“การจะทำให้เถ้าแก่เล็กห้าดาวทุกสาขามีมาตรฐานการบริหารจัดการการผลิตสินค้าและการให้บริการแก่ลูกค้าเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งหมดนั้น นับเป็นเรื่องที่ท้าทาย ซึ่งเป็นเรื่องที่บริษัทให้ความสำคัญโดยเฉพาะเรื่องอาหารปลอดภัย” นายสถิต กล่าว

ทั้งนี้ จากการสั่งสมประสบการณ์นับตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจเมื่อปี 2528 ทั้งมาตรฐานการผลิตสินค้า การบริหารสินค้าขาย การดูแลความสะอาดจุดขาย ระบบการบริหารบัญชีจุดขาย และจุดแข็งที่สำคัญคือ ระบบการขนส่งสินค้า (Logistic) ตลอดจนการบำรุงรักษาอุปกรณ์ บริษัทได้นำองค์ความรู้ดังกล่าวมาถ่ายทอดแก่เถ้าแก่เล็กห้าดาว รวมถึงการสนับสนุนการขายต่างๆ ตั้งแต่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การสื่อสารการตลาด ระบบขนส่งสินค้า มาถ่ายทอดอย่างเปิดเผยเพื่อให้เถ้าแก่เล็กมั่นใจในการร่วมธุรกิจแฟรนไชส์แบบมืออาชีพ

“บริษัททำการพัฒนาซุ้มครูฝึกธุรกิจห้าดาวอย่างต่อเนื่อง ด้วยการจัดประชุมครูฝึกธุรกิจห้าดาวประจำปี และแบ่งการประชุมย่อยตามเขตรวม 18 รอบต่อปี เพื่อทดสอบความรู้มาตรฐานครูฝึกในการสอนงานพร้อมฝึกฝนเทคนิคการถ่ายทอดให้กับผู้เข้าเรียนในละประเภท ทำให้สามารถนำความรู้และข่าวสารใหม่ๆที่ได้รับการถ่ายทอดไปสอนต่อที่ซุ้มฝึกต่อไป” นายสถิต กล่าว

สำหรับซุ้มฝึกอบรมธุรกิจห้าดาว บริษัทคัดเลือกคุณสมบัติของครูฝึกที่มีผลการตรวจมาตรฐานการปฏิบัติงานที่จุดขายมากกว่า 80% ขึ้นไป มียอดสั่งซื้อสินค้าไม่ต่ำกว่า 1 แสนบาท/เดือน ทำเลที่ตั้งเหมาะสม ประกอบกับต้องมีทัศนคติที่ดีต่อธุรกิจห้าดาวและมีใจรักในการสอนงาน โดยครูฝึกจะทำการสอนทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติรวมถึงประเมินการปฏิบัติงานของแต่ละซุ้ม

นายสถิต กล่าวอีกว่า ความสำเร็จของธุรกิจห้าดาวอยู่ที่ 3 หัวใจหลัก ได้แก่ Quality-Service-Cleanliness หรือ QSC ซึ่งเป็นการควบคุมมาตรฐานการปฏิบัติงานที่จุดขายธุรกิจห้าดาวทุกๆซุ้มให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน กล่าวคือ Quality-การควบคุมคุณภาพของกระบวนการผลิต การจัดเสิร์ฟสินค้าให้กับลูกค้า, Service-ทักษะการบริหารงานขาย, Cleanliness-ความสะอาดของอุปกรณ์การผลิตสินค้า ซุ้ม และผู้ขาย

“เคล็ดลับความสำเร็จที่ทำให้ห้าดาวก้าวสู่การเป็นธุรกิจอาหารสำเร็จรูปที่ขายดีอันดับ 1 ของเมืองไทย คือ เถ้าแก่เล็กทุกคนเป็นผู้ที่มีใจรักในการขาย มีอัธยาศัยดี สินค้าสด สะอาด ปลอดภัย ขณะเดียวกันทำเลที่ตั้งก็สามารถดึงดูดลูกค้าได้ และธุรกิจห้าดาวยังคงมุ่งมั่นคิดค้นสินค้าใหม่ๆ เพื่อผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการผลิตอาหารปลอดภัยที่สามารถรับประทานได้ทันที ณ จุดขาย” นายสถิต กล่าว

นอกจากนี้ ซีพีเอฟ ยังได้ขยายธุรกิจห้าดาวไปต่างประเทศอีก 6 ประเทศ ประกอบด้วย อินเดีย เวียดนาม เมียนมาร์ บังคลาเทศ กัมพูชาและลาว และมีจำนวนซุ้มรวมกันประมาณ 700 ซุ้ม และแนวโน้มการดำเนินธุรกิจเป็นไปด้วยดี อย่างไรก็ตาม บริษัทฯยังต้องเป็นผู้ลงทุนเองในประเทศเพื่อสร้างความมั่นใจในความสำเร็จให้กับผู้ประกอบการรายย่อยในต่างประเทศ และจะปรับเปลี่ยนเป็นระบบแฟรนไชส์ในอนาคต

นายสถิต กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทฯตั้งเป้าขยายซุ้มห้าดาวในประเทศเพิ่มเป็น 5,800 ซุ้ม ต่างประเทศเป็น 1,000 ซุ้ม เพื่อให้ยอดขายรวมของธุริกจบรรลุเป้าหมาย 6,000 ล้านบาท เติบโต 10% โดยสัดส่วนยอดขายในประเทศเป็น 5,100 ล้านบาท และต่างประเทศ 900 ล้านบาท.