โดย นายศิริยศ จุฑานนท์
นักวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ตลาดหุ้นไทยในยุคชะลอ QE
นับเป็นเวลากว่า 6 ปีแล้วที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (FED) ได้ประกาศใช้ Unconventional monetary policy measures เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศตนเองให้ผ่านพ้นวิกฤติการเงินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของโลกในปี 2551 โดย FED เริ่มทำการอัดฉีดเงินจำนวนมหาศาลเข้าสู่ระบบการเงินที่เรียกว่า Quantitative Easing (QE) ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจสหรัฐฯแล้ว ปริมาณเงินที่มากมายเหล่านี้ยังส่งผลต่อตลาดทุนในประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะตลาดทุนในประเทศกำลังพัฒนาซึ่งมีขนาดเล็กและมีโอกาสเติบโตสูงอีกด้วย จนกระทั่งในช่วงกลางปี 2556 ที่เศรษฐกิจของสหรัฐฯเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน ส่งผลให้ตลาดเริ่มคาดการณ์ว่า FED จะเริ่มลดวงเงินที่อัดฉีดลงและสิ้นสุดการทำ QE ในช่วงตุลาคม 2557
ตลาดหุ้นไทยในช่วงที่มีการทำ QE นั้นถือว่ามีผลตอบแทนสูงเป็นลำดับต้นๆของโลก ส่วนหนึ่งมาจากเงินทุนจากต่างประเทศที่มีปริมาณมากและมีต้นทุนต่ำ ซึ่งต้องการหาสินทรัพย์ที่มีโอกาสเติบโตสูง แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากการใช้ Unconventional monetary policy measures เหล่านี้จบลง ตลาดหุ้นไทยจะได้รับผลกระทบอย่างไรในยุคชะลอ QE? จึงเป็นที่มาของบทความชิ้นนี้ ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อพยายามอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างมาตรการ QE และเงินทุนไหลเข้า/ออกของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทย โดยสรุปแล้วผู้วิจัยเห็นว่าการสิ้นสุดลงของนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายนี้ไม่ได้น่ากังวลอย่างที่นักลงทุนหลายท่านคิดนัก เนื่องจาก ประการแรกนักลงทุนจำนวนมากยังเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานและศักยภาพการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนไทย ประการที่สอง FED ได้แสดงจุดยืนในการบริหารความคาดหวังของตลาดไม่ให้เกิดเรื่องประหลาดใจขึ้นอย่างเช่น ไม่ประกาศการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายแบบกระทันหัน ประการที่สาม นักลงทุนต่างชาติได้ทำการขายหุ้นไทยไปก่อนที่จะมีการประกาศ QE tapering ไปพอสมควรแล้ว อีกทั้งจากการประมาณกำไรจาก Capital Gain ของนักลงทุนต่างชาติที่ยังคงเหลืออยู่ในตลาดหุ้นไทยพบว่ามีมูลค่าไม่สูงนัก และประการสุดท้าย พบว่าในช่วง ม.ค. - มิ.ย. 2557 ปัจจัยด้านการเมืองภายในประเทศมีบทบาทต่อการตัดสินใจของนักลงทุนต่างชาติมากกว่าปัจจัยที่เกี่ยวกับการทำ QE tapering ดังนั้นหากการเมืองภายในประเทศมีเสถียรภาพมากขึ้น จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงต่อไป
                            
                            KJL สุดยอด! คว้า CGR 5 ดาว 'ดีเลิศ' ยืนหนึ่งองค์กรโปร่งใส มาตรฐานธรรมาภิบาลรอบด้าน
                        
                            BRR ได้รับคะแนนการประเมินการกำกับดูแลกิจการระดับ 5 ดาว ต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 สะท้อนการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาลและความยั่งยืน
                        
                            ดิ เอราวัณ กรุ๊ป คว้าคะแนนการประเมินการกำกับดูแลกิจการ "ดีเลิศ" ระดับ 5 ดาว ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 (พ.ศ. 2566-2568)
                        
                            PRTR คว้า CGR ระดับ "ดีเลิศ" 5 ดาว ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 สะท้อนธรรมาภิบาลองค์กรและความยั่งยืนทางธุรกิจ
                        
                            ซีเอ็ด จัดกิจกรรม "Maruey Book Talk" เปิดตัวหนังสือ "คัมภีร์ชีวิต ชาร์ลี มังเกอร์" ถ่ายทอดแนวคิดการลงทุนและชีวิตอย่างชาญฉลาด
                        
                            CH คว้าคะแนน CGR 4 ดาว ระดับ "ดีมาก" ต่อเนื่องปีที่ 2
                        
                            "MGC-ASIA" คว้ารางวัล "ดีเลิศ" ระดับ 5 ดาว จาก CGR ติดกลุ่ม Top Quartile ตอกย้ำธรรมาภิบาลแกร่ง สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
                        
                            ITEL ตอกย้ำผู้นำธรรมาภิบาล คว้า 5 ดาว "ดีเลิศ" 5 ปีต่อเนื่อง
                        
                            SGP คว้า CGR ระดับ 5 ดาว `ดีเลิศ` ต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน ตอกย้ำศักยภาพการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนตามหลักธรรมาภิบาล