ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพทั้งการผลิตและส่งออกสินค้าอินทรีย์ (organic products) เนื่องจากมีพื้นฐานเป็นผู้นำในการส่งออกสินค้าเกษตรหลายชนิด อาทิ ข้าว ผัก และผลไม้ และยังมีการผลิตวัตถุดิบอินทรีย์ที่หลากหลาย สามารถแปรรูปเป็นอาหารอินทรีย์สำเร็จรูป รวมทั้งสินค้าอื่นๆ เช่น สำลี ผ้า ผลิตภัณฑ์สปา จึงทำให้ไทยมีโอกาสในการเป็นศูนย์กลางด้านการค้าสินค้าอินทรีย์ในภูมิภาคนี้ ตลอดจนมีศักยภาพในการให้บริการอินทรีย์ (organic services) ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารที่เสิร์ฟเมนูอินทรีย์ สปาที่ใช้ผลิตภัณฑ์อินทรีย์ หรือโรงแรมที่บริการอาหารหรือสปาอินทรีย์ เป็นต้น
“ในขณะนี้ ผู้ผลิตสินค้าอินทรีย์ เช่น ข้าว ผักและผลไม้อินทรีย์ของไทย มีทั้งผู้ประกอบการขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก รวมไปถึงกลุ่มสถาบันเกษตรกรต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมาแม้ว่าผู้ประกอบการของไทยส่วนหนึ่งจะได้รับการตรวจสอบรับรองตามมาตรฐานโดยสหพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ (IFOAM) ก็ตาม แต่ยังจำเป็นต้องเร่งให้ความรู้แก่ผู้ผลิตอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตให้มีคุณภาพมาตรฐานเทียบเคียงระดับสากลให้มากขึ้น” พล.อ.ฉัตรชัย กล่าว
เกษตรอินทรีย์เป็นวาระแห่งชาติของประเทศไทย ในด้านการตลาดกระทรวงพาณิชย์ได้มียุทธศาสตร์การพัฒนาตลาดสินค้าอินทรีย์ พ.ศ. 2557 – 2559 มีวิสัยทัศน์ คือ ผลักดันให้ “ไทยเป็นผู้นำทางการค้า และการบริโภคสินค้าอินทรีย์ในภูมิภาคอาเซียน ภายในปี ค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563)” เพื่อเสริมสร้างศักยภาพสินค้าอินทรีย์เชิงพาณิชย์สู่สากล โดยมุ่งเน้นการขยายตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งการสร้างความหลากหลายและมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์อินทรีย์ตามความต้องการของตลาด การสร้างความรู้ ความเข้าใจ ด้านการตลาดสินค้าอินทรีย์ตลอดห่วงโซ่อุปทาน การพัฒนาฐานข้อมูลให้ทันสมัยเพื่อใช้วางแผนการตลาดเชิงรุก ตลอดจนการจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นการบริโภคสินค้าอินทรีย์ไทยให้เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
กระทรวงฯ เชื่อมั่นว่าปัจจัยเหล่านี้จะมีส่วนช่วยกระตุ้นอัตราการบริโภคภายในประเทศให้ขยายตัว รวมถึงผลักดันตลาดต่างประเทศ ทำให้มูลค่าสินค้าอินทรีย์ไทยให้เติบโตขึ้นร้อยละ 10 ต่อปี สอดคล้องกับอัตราการขยายตัวของตลาดสินค้าอินทรีย์โลก ซึ่งตามข้อมูลจาก The World of Organic Agriculture: Statistic and Emerging Trends 2015 หนังสือเกษตรอินทรีย์โลกรายปี ตลาดสินค้าอินทรีย์โลกในปี 2556 เติบโตขึ้นจนมีมูลค่ามากถึง 72,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2.3 ล้านล้านบาท) โดยประเทศที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่คือสหรัฐอเมริกา (ร้อยละ 43) รองลงมาคือสหภาพยุโรป (ร้อยละ 40) และตามมาด้วย จีน (ร้อยละ 4) แคนาดา(ร้อยละ 4) สวิสเซอร์แลนด์ (ร้อยละ 3) ญี่ปุ่น (ร้อยละ 2) และตลาดอื่นๆ (ร้อยละ 4)
ผู้ประกอบการสินค้าอินทรีย์ นอกจากสร้างรายได้เข้าประเทศแล้ว ยังจะช่วยลดการนำยาปราบศัตรูพืชและปุ๋ยเคมีด้วย ซึ่งถึงแม้ประเทศไทยจะมีพื้นที่เป็นอันดับ 51 ของโลก แต่เป็นประเทศที่นำเข้ายาปราบศัตรูพืชเป็นอันดับ 5 ของโลก โดยไทยนำเข้ายาปราบศัตรูพืชถึง 19,000 ล้านบาท ต่อปี และนำเข้าปุ๋ยเคมี กว่า 70,000 ล้านบาท ต่อปี
"จุรินทร์" โชว์ผลจัดงาน MOVE 2022 ต่างชาติแห่ชอปดิจิทัลคอนเทนต์ไทย ยอดขายทะลุเป้า โกยเงินเข้าประเทศกว่า 604 ล้าน
"พาณิชย์" จัดกระเช้า "GI ไทย ส่งสุขปีใหม่ สุขใจชุมชน"ชูแคมเปญส่งเสริมการตลาด GI ในรูปแบบกระเช้าปีใหม่GI นานาชนิด หนุนเสริมแกร่งผู้ประกอบการไทย สร้างรายได้สู่ชุมชนอย่างยั่งยืน
"พันธุ์ไทย" ท็อปฟอร์ม กวาด 2 รางวัลใหญ่ ยืนหนึ่งผู้นำธุรกิจแฟรนไชส์แห่งปี
โรงพยาบาลหัวเฉียว ร่วมพิธีลงนาม MOU โครงการสุขกาย สบายกระเป๋า
กรมทรัพย์สินทางปัญญาหารือสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยรับฟังความเห็นการแก้ไขกฎหมายลิขสิทธิ์ร่วมจับมือสร้างมูลค่าเพิ่มงานสร้างสรรค์และนวัตกรรม
กรมทรัพย์สินทางปัญญา ผนึกกำลัง SACIT วางแนวทางยกระดับงานศิลปหัตถกรรมไทยสู่ตลาดโลกด้วยทรัพย์สินทางปัญญา
MOTHER ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ผ่านโครงการ "รวมพลังห้างท้องถิ่น ลดยิ่งใหญ่ ไทยช่วยไทย"
กรมทรัพย์สินทางปัญญา ยกระดับความร่วมมือ สถาบันอาหาร พัฒนา "อุตสาหกรรมอาหารไทย" ด้วยทรัพย์สินทางปัญญา อย่างไม่หยุดนิ่ง
"ทุเรียนหมอนทองเขาบรรทัด" ผลไม้ทองคำ โกยรายได้ทะลุ "หมื่นล้าน" ครองแชมป์สินค้า GI ทำเงินสูงสุดในปี 2568