นายประพล มิลินทจินดา ประธานคณะกรรมการบริหารและรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) (AECS) เปิดเผยว่า คาดผลประกอบการในปี 2557 น่าจะ Turnaround จากปีที่ผ่านมา และประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพราะบริษัทเพิ่งเปิดดำเนินการได้เพียงปีกว่าๆ และสำหรับปี 2558 ตั้งเป้าผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน โดยในส่วนของธุรกิจจะมุ่งเน้นงานด้านวาณิชธนกิจ (Investment Banking) โดยเฉพาะการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินการลงทุนทั้งตลาดในประเทศไทย และกลุ่มประเทศในตลาดอาเซียนอีกด้วย ซึ่งมีความพร้อมจากการเตรียมเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี)
ขณะที่ในส่วนของธุรกิจโบรกเกอร์นั้น บริษัทมีแผนขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่องทั้งลูกค้าบุคคลและลูกค้าสถาบัน โดยตั้งเป้าจำนวนบัญชีปีนี้เพิ่มขึ้นอีก 2400 บัญชี จากปีก่อนอยู่ที่ 7600 บัญชี คาดว่าจะมีบัญชีที่ Active ประมาณ 40 % พร้อมกันนี้ ยังมีแผนขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการบริการลูกค้าได้อย่างทั่วถึง โดยปัจจุบันมีสาขาในประเทศทั้งสิ้นอยู่ที่ 13 สาขา และเตรียมขยายสาขาสู่ต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าในปีนี้น่าจะเห็นสาขาในประเทศอินโดนีเชีย, ลาว และพม่า โดยในปีนี้เราตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ของธุรกิจโบรกเกอร์ที่ 4 % จากปัจจุบันมีมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ 3 %
“ในปีนี้เราพร้อมให้บริการลูกค้าอย่างครบวงจร ซึ่งเรามีทีมที่มีศักยภาพ ครบทุกหน่วยงาน Full Product & Service โดยแผนการดำเนินธุรกิจของปีนี้ จะเน้นการทำตลาดต่างประเทศ การทำ Investment banking ทั้งการลงทุนในต่างประเทศและการชักชวนให้ต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะประเทศในแถบอาเซียน เรามีความพร้อมต่อการเข้าสู่ AEC ซึ่งเรามีจุดแข็งในการบุกตลาดต่างประเทศ คือ การมี partner และ connection ที่แข็งแกร่งในประเทศอาเชียนเป็นอย่างดี และประกอบกับการประสบความสำเร็จในการทำดีลให้กับบริษัทต่างๆ ในประเทศเมื่อปีที่ผ่านมาในหลายธุรกิจ” นายประพล กล่าวในที่สุด
นอกจากนี้สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทย บล.เออีซี (AECS) ประเมินเป้าหมายของตลาดหุ้นไทยปี 2558 ที่ 1,680 จุด โดยนายเกรียงไกร ทำนุทัศน์ นักวิเคราะห์กลยุทธ์อาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้มีแนวโน้มที่จะขยายตัวระดับ 13% ฟื้นตัวจากปี 2557 ที่ขยายตัวเพียง 1% และในแง่ของการลงทุน ตลาดหุ้นไทยปี2558 ให้อัตราผลตอบแทนคาดหวังที่ระดับ 15.2% มาจาก 2 ส่วนได้แก่ 1) ผลตอบแทนจากระดับการปรับขึ้นของดัชนีที่ระดับ 12% และ 2) อัตราเงินปันผลระดับ 3% รวมทั้งระดับความผันผวนของตลาดหุ้นไทยในระยะ 12 เดือนข้างหน้าจะอยู่ที่ระดับ 12% (ความผันผวนในกรอบ 200 จุดต่อรอบ) ความผันผวนของตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากปี 2557 เนื่องจาก ความไม่แน่นอนของปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศ รวมถึงผลกระทบของค่าเงินอันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง