โดย คนร.ได้พิจารณาเรื่องที่สำคัญสรุปได้ดังนี้
1. การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ
คนร. ได้เห็นชอบกรอบและโครงสร้างการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจที่ประกอบด้วย บทบาทของรัฐวิสาหกิจต่อทิศทางการพัฒนาประเทศและทิศทางการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ โดยให้กำหนดบทบาทที่คาดหวังและภารกิจของรัฐวิสาหกิจในแต่ละอุตสาหกรรมอย่างชัดเจน มีแนวทางการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินร่วมกันของรัฐวิสาหกิจ โดยให้นำหลักการ 5 ข้อ มาพิจารณาการกำหนดบทบาทที่คาดหวัง ได้แก่ 1) การแยกบทบาทการกำกับดูแล (Regulator) ออกจากรัฐวิสาหกิจ 2) การเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาร่วมเป็นผู้ประกอบการเพื่อส่งเสริมการแข่งขัน 3) การบูรณาการระหว่างแผนงานโครงการก่อสร้าง 4) การพิจารณาวัตถุประสงค์ทางยุทธศาสตร์ที่ควรให้รัฐวิสาหกิจดำเนินการ และ 5) การนำทรัพย์สินที่มีอยู่มาบริหารจัดการให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้ง มีแนวทางการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจในเรื่องต่างๆ ได้แก่ การประเมินผลและการให้ผลตอบแทนที่จูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ระบบบรรษัทภิบาลของรัฐวิสาหกิจให้มีความโปร่งใสตรวจสอบได้ เป็นต้น
2. รูปแบบการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจภาพรวมของประเทศ
คนร. ได้เห็นชอบในหลักการให้มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่เจ้าของรัฐวิสาหกิจแบบรวมศูนย์ โดยมอบหมายให้คณะอนุกรรมการพัฒนาระบบกำกับดูแลและระบบบรรษัทภิบาลของรัฐวิสาหกิจ ศึกษาในรายละเอียดว่าจะเป็นหน่วยงานในรูปแบบใด ซึ่งจะต้องมีการกำหนดความชัดเจนของหน้าที่ระหว่างหน่วยงานเจ้าของดังกล่าวและกระทรวงเจ้าสังกัด และนำเสนอ คนร. ในการประชุมคราวต่อไปในเดือนหน้า
3. การแก้ไขปัญหาการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)
(1) รฟท.
คนร. ได้รับทราบผลการพิจารณาแผนการแก้ไขปัญหาของ รฟท. ของคณะอนุกรรมการกลั่นกรองแผนการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ และมีมติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของ คนร. ร่วมในการแก้ไขปัญหาของ รฟท. ดังนี้
1. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเร่งสร้างความชัดเจนระหว่างบทบาทของกรมรางและ รฟท. ในการก่อสร้างและบำรุงรักษาทางรถไฟ
2. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมจัดทำแนวทางการให้เอกชนมาร่วมในการเดินรถไฟฟ้าสายสีแดงและรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Airport Rail Link)
3. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมหารือร่วมกับกระทรวงการคลังในการโอนสิทธิ์ในการใช้ที่ดินของ รฟท. เพื่อให้กระทรวงการคลังรับภาระหนี้สิน (ประมาณ 80,000 ล้านบาท) และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้บริหารจัดการ
(2) ขสมก.
คนร. ได้รับทราบผลการพิจารณาแผนการแก้ไขปัญหาของ ขสมก. ของคณะอนุกรรมการกลั่นกรองแผนการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ และมีมติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของ คนร. ร่วมในการแก้ไขปัญหาของ ขสมก. ดังนี้
1. ให้ ขสมก. ดำเนินการในฐานะผู้ประกอบการเท่านั้น และให้กรมการขนส่งทางบกทำหน้าที่เป็นผู้กำกับดูแล (Regulator) ผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะ แทน
2. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งสร้างความชัดเจนของเส้นทางการเดินรถและการจัดสรรเส้นทางระหว่าง ขสมก. และรถเอกชน และจัดซื้อรถให้สอดคล้องต่อไป
3. เมื่อมีความชัดเจนในเรื่องของเส้นทางเดินรถของ ขสมก. ให้กระทรวงการคลังพิจารณา
ในการแก้ไขปัญหาหนี้สินของ ขสมก.
4. แผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558 – 2565 และแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง ระยะเร่งด่วน พ.ศ. 2558 (Action Plan)
คนร. ได้เห็นชอบในหลักการแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558 – 2565 และแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง ระยะเร่งด่วน พ.ศ. 2558 (Action Plan) เพื่อใช้เป็นกรอบทิศทาง
ในการพัฒนาภาคคมนาคมขนส่งของประเทศ และเป็นแนวทางเร่งรัดติดตามการดำเนินงานด้านขนส่งเพื่อให้สามารถเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมขนส่งในรูปแบบต่างๆ และบูรณาการการพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิจารณารูปแบบแหล่งเงินทุนทางเลือกที่เหมาะสมโดยคำนึงถึงภาระเงินงบประมาณและหนี้สาธารณะของประเทศด้วย โดยการให้หน่วยงานที่มีศักยภาพพิจารณาจัดหาแหล่งเงินทุนในลักษณะ Self Financing เช่น การจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) เป็นต้น
5. โครงการขยายเขตระบบไฟฟ้าให้ครัวเรือนที่ห่างไกลของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)
คนร. ได้เห็นชอบในหลักการให้ กฟภ. ดำเนินโครงการขยายเขตระบบไฟฟ้าให้ครัวเรือนที่ห่างไกล วงเงินลงทุนทั้งสิ้น 1,215 ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ในประเทศจำนวน 910 ล้านบาท และเงินรายได้ของ กฟภ. จำนวน 305 ล้านบาท โดยให้ กฟภ. ทยอยกู้เงินตามความจำเป็น เพื่อตอบสนองความต้องการในการมีไฟฟ้าใช้ของประชาชน ช่วยพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างทั่วถึง รวมทั้งสร้างความเท่าเทียมและลดความเหลื่อมล้ำของคนในสังคม
6. การปรับปรุงบัญชีโครงสร้างอัตราค่าจ้างของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ
คนร. ได้เห็นชอบในหลักการให้มีการปรับปรุงอัตราค่าจ้างตามบัญชีโครงสร้างอัตราค่าจ้างของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ เนื่องจากเป็นการปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน รวมถึงเป็นการสร้างแรงจูงใจในการทำงานของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ ทั้งนี้ สำหรับกรณีรัฐวิสาหกิจจะขยายเพดานอัตราค่าจ้างขั้นสูงขึ้นไปสูงกว่าอัตราขั้นสูงที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน จะต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเป็นรายกรณีไป รวมทั้งการขยายเพดานอัตราค่าจ้างขั้นสูงจะต้องสอดคล้องกับขนาด ภาระหน้าที่ และความรับผิดชอบของรัฐวิสาหกิจที่มีความแตกต่างกันตามความเหมาะสม ตลอดจนความสามารถในการรองรับภาระค่าใช้จ่ายบุคลากรที่เพิ่มขึ้นของรัฐวิสาหกิจด้วย
"สาระ ล่ำซำ" คว้า 2 รางวัลเกียรติยศ "สุดยอดผู้นำองค์กร" ประจำปี 2568 จากงานประกาศรางวัล CEO ECONMASS Awards 2025
ผู้บริหาร SABINA คว้ารางวัลสุดยอดซีอีโอ ประจำปี 2568 จากสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ
ไอแบงก์ ร่วมแสดงความยินดี สคร. ครบรอบ ๒๓ ปี
วว. ร่วมแสดงความยินดี "ครบรอบ 22 ปี สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ"
อ.อ.ป. ร่วมยินดี สคร. ครบรอบ 21 ปี
วว. ร่วมแสดงความยินดีวันคล้ายวันสถาปนาครบรอบ 21 ปี สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ
SME D Bank ร่วมสัมมนาเรียนรู้แนวทาง ESG ในรัฐวิสาหกิจไทย เดินหน้าประยุกต์ใช้ เพิ่มประสิทธิภาพขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืน
EXIM BANK เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ ครั้งที่ 4/2566
SME D Bank เชิญคณะอนุกรรมการ SubPAC ร่วมเยี่ยมชมกิจการลูกค้า ความสำเร็จจากแนวทาง 'เติมทุนคู่พัฒนา' ส่งเสริมเอสเอ็มอีไทยเติบโตยั่งยืน