สปช. อดีตผู้ว่า กฟภ. แนะใช้ระบบสัมปทานมีเงื่อนไขสัญญาเพื่อก้าวสู่การใช้ระบบแบ่งปันผลผลิตปิโตรเลียมในอนาคต

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

          สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 13 ม.ค. 58 ประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ครั้งที่ 4/2557 ได้พิจารณาศึกษาเรื่องการเปิดให้สัมปทานปิโตรเลียม รอบที่ 21 ตามที่คณะกรรมาธิการปฏิรูปพลังงานเสียงข้างมากเป็นผู้เสนอ โดยได้ดำเนินการประชุม และอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง โดยนายทองฉัตร หงศ์ลดารมภ์ ประธานกรรมาธิการปฏิรูปพลังงาน แถลงผลการศึกษาว่า ผลการพิจารณาสรุปเป็น 3 แนวทาง คือ 1.ให้กระทรวงพลังงาน ดำเนินการเปิดให้สัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ด้วยระบบสัมปทาน ไทยแลนด์ทรี พลัส ตามแผนงานที่มีอยู่ในปัจจุบัน 2.ยกเลิกการใช้ระบบสัมปทาน ในการเปิดสัมปทานรอบที่ 21 และนำระบบแบ่งปันผลผลิต และ 3.ให้ดำเนินการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ด้วยระบบสัมปทานไทยแลนด์ทรี พลัส และให้กระทรวงพลังงาน ดำเนินการศึกษาและเตรียมการให้มีระบบแบ่งปันผลผลิตที่ เหมาะสมกับศักยภาพของการผลิตปิโตรเลียมให้พร้อมไว้เพื่อเป็นทางเลือก และให้รัฐบาลตัดสินใจในการให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในครั้งต่อๆ ไป ซึ่งได้คำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนเป็นหลัก ซึ่งคณะกรรมาธิการปฏิรูปพลังงานมีมติเสนอทางเลือกที่ 3 ต่อที่ประชุม สปช.เพื่อพิจารณาเสนอ ครม.ต่อไป แต่ที่ประชุมได้มีการลงมติ โดยสมาชิก สปช. ส่วนใหญ่ มีมติไม่เห็นด้วยต่อข้อเสนอของคณะกรรมาธิการปฏิรูปพลังงาน สปช. เสียงข้างมากที่จะให้มีการเดินหน้าสัมปทานปิโตรเลียม รอบที่ 21 (ตามทางเลือกที่ 3) ด้วยคะแนน 130 ต่อ 79 คะแนน งดออกเสียง 21 เสียง จากจำนวนผู้เข้าประชุม 230 คน
          จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ได้กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติเมื่อวันที่ 16 ม.ค. ที่ผ่านมาว่าในเรื่องของทางปฏิบัติเป็นเรื่องของ ครม. ของกระทรวงพลังงานที่จะต้องรับผิดชอบในเรื่องของการดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง เพียงพอและไม่ให้ประสบปัญหาในเรื่องของวิกฤตด้านพลังงานในอนาคต สอดคล้องกับการออกมาระบุแก่สื่อมวลชนก่อนหน้านั้นว่าการเตรียมพลังงานสำรองถือเป็นเรื่องดี เพราะหากไม่สามารถใช้พลังงาน ทั้งไฟฟ้าและก๊าซ ที่นำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านได้ ก็ยังมีพลังงานในประเทศสำรองไว้ใช้ การได้มาของพลังงานสำรองจากการเปิดสัมปทานรอบที่ 21 ก็จะสอดคล้องกับสัมปทานที่รัฐบาลเคยดำเนินการมาในอดีต ที่ขณะนี้ก็ทยอยที่จะหมดสัมปทานแล้วนั้น
          ทั้งนี้จากการอภิปรายและให้ความเห็นเพิ่มเติมของนายวิบูลย์ คูหิรัญ ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการปฏิรูปพลังงาน และอดีตผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคระบุว่ามีความกังวลใจว่าก๊าซธรรมชาติในประเทศไทยจะมีเพียงพอถึง 10 ปีหรือไม่ เพราะตอนนี้ ปตท. ก็ได้ตั้งโรงงานแปรรูปก๊าซ LNG ซึ่งแพงกว่าก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในปัจจุบันเกือบ 2 เท่า ซึ่งอาจจะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าแพงขึ้นในอนาคต แม้จะหนีไปใช้พลังงานทดแทนอย่างโซลาร์เซลล์ก็ยังจะไม่เพียงพอ เพราะจะต้องมีกำลังสำรองไว้ซึ่งหากสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินหรือโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ก็ยิ่งอาจจะถูกประชาชนต่อต้านได้
          ดังนั้นจึงคิดว่าควรมีการประมูลรอบที่ 21 นี้ เพียงแต่ว่าควรใช้ระบบอะไรในการประมูล ซึ่งมีการพูดอยู่ 2 ระบบในขณะนี้คือ 1.แบบสัมปทานที่ใช้กันอยู่ เพียงแต่ครั้งนี้มีการปรับปรุงสัญญาให้เป็นแบบ “ระบบไทยแลนด์ทรีพลัส” (Thailand (III) Plus) ซึ่งจะให้ผลประโยชน์แก่รัฐมากกว่าเดิม และ 2. การใช้ระบบแบ่งปันผลผลิต (Production Sharing Contract - PSC) และประเทศยังเป็นเจ้าของทรัพยากร ซึ่งจะต้องตั้งหน่วยงานขึ้นมาดูแลผลประโยชน์ แต่แนวทางนี้มีปัญหาก็คือจะต้องเร่งออกกฎหมายที่จะใช้กับระบบ PSC ทั้งนี้ในการที่จะหาบุคคลากรที่มีความรู้ในการเข้าไปดูแลข้อมูลและผลประโยชน์นั้น ควร Recruit คนที่มีความรู้และประสบการณ์เข้ามาทำหน้าที่ เช่นจาก ปตท. หรือ ปตท.สผ. แต่อาจจะมีอุปสรรคเนื่องจากค่าตอบแทนให้แก่บุคคลากรที่มีประสบการณ์เหล่านี้ของภาคเอกชนนั้นสูงกว่าภาครัฐกว่า 10 เท่า
          จึงขอเสนอว่าเพื่อให้ทันต่อความต้องการด้านพลังงานของประเทศ ก็ควรให้มีการประมูลแบบ Thailand (III) Plus หรือการสัมปทานโดยมีเงื่อนไขเข้าไปด้วยว่าจะต้องให้คณะทำงานที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาเข้าไปดูแลข้อมูลและผลประโยชน์ต่างๆ อย่างใกล้ชิดด้วย รวมทั้งมีการจ้างที่ปรึกษาภายนอกเข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลและให้คำแนะนำแก่คณะทำงาน โดยเมื่อได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้และมีประสบการณ์ควบคู่กับการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.ปิโตรเลียม แล้วในอนาคตก็จะสามารถใช้ระบบแบ่งปันผลผลิตได้ รวมทั้งในโอกาสที่รัฐบาลไทยมีความใกล้ชิดกับรัฐบาลกัมพูชาอย่างในขณะนี้นั้น ก็ควรเร่งให้มีการเปิดโต๊ะเจรจาพื้นที่ทับซ้อนเพื่อแบ่งปันผลประโยชน์ด้านปิโตรเลียมที่มีศักยภาพสูงในบริเวณนั้นด้วย

สปช. อดีตผู้ว่า กฟภ. แนะใช้ระบบสัมปทานมีเงื่อนไขสัญญาเพื่อก้าวสู่การใช้ระบบแบ่งปันผลผลิตปิโตรเลียมในอนาคต

ข่าวทองฉัตร หงศ์ลดารมภ์+สภาปฏิรูปแห่งชาติวันนี้

มจธ. และบริษัท เอ็มไพร์ เอเซีย กรุ๊ป จำกัด ลงนามความร่วมมือการส่งเสริมการวิจัยพัฒนาและนวัตกรรมที่สนับสนุนการดำเนินธุรกิจ

เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2564 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) โดย รศ. ดร.สุวิทย์ แช่เตีย อธิการบดี ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เรื่องการส่งเสริมการวิจัยพัฒนาและนวัตกรรมที่สนับสนุนการดำเนินธุรกิจ กับ บริษัท เอ็มไพร์ เอเซีย กรุ๊ป จำกัด ซึ่งมอบหมายให้ บริษัท ชิลิคอน เทคโนโลยี พาร์ค จำกัด โดยนายไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เป็นผู้มีอำนาจทำการแทน ในการนี้ ดร.ทองฉัตร หงศ์ลดารมภ์ ประธานที่ปรึกษาบริษัท และ รศ. ดร.ชิต เหล่าวัฒนา ที่ปรึกษาอธิการบดี มจธ. ร่วม

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ (ที่ 4 จากซ้าย... ปตท.สผ. ฉลอง 35 ปี การเดินทางเพื่อพลังงานของคนไทย — นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ (ที่ 4 จากซ้าย) รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน...

ดร. ปรัชญา ภิญญาวัธน์ (ที่ 4 จากซ้าย) ประ... ภาพข่าว : ปตท.สผ. ครบรอบ 35 ปี สานต่อพันธกิจสร้างความมั่นคงทางพลังงาน — ดร. ปรัชญา ภิญญาวัธน์ (ที่ 4 จากซ้าย) ประธานกรรมการ และประธานกรรมการอิสระ บริษัท ป...

เมื่อเร็วๆนี้ คุณอรษา อโศกสกุล (ที่2จากขว... ภาพข่าว: ไทยออยล์สนับสนุนโครงการพัฒนาช่างเทคนิควิศวกรรมเคมี — เมื่อเร็วๆนี้ คุณอรษา อโศกสกุล (ที่2จากขวา) ผู้จัดการแผนกทรัพยากรบุคคลและการเงิน ในฐานะผู้แท...

ดร.พสุ โลหารชุน อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม... ภาพข่าว: อธิบดีกรมโรงงานฯ รับโล่รางวัล “วิศวจุฬาดีเด่น” — ดร.พสุ โลหารชุน อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม รับโล่รางวัลและใบประกาศเกียรติคุณวิศวจุฬาดีเด่น ประจำป...