ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข โดย ศ.นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รมว.สธ. ได้ให้ความสำคัญในการยกระดับคุณภาพบริการสาธารณสุข ลดความเหลื่อมล้ำ และเพิ่มการเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐานและจำเป็น โดยเฉพาะในระดับรากหญ้า โดยกำหนดเป็นนโยบายสำคัญของกระทรวง 10 เรื่อง และแปลงไปสู่การปฏิบัติเป็นกิจกรรม/โครงการไม่ต่ำกว่า 50 โครงการย่อย มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมในรอบ 3 เดือน ประชาชนได้รับประโยชน์อย่างชัดเจน 4 ด้าน ได้แก่ 1.การพัฒนาระบบบริการ 2.การควบคุมป้องกันโรค 3.สร้างความโปร่งใสขององค์กร และ 4.การออกกฎหมายสำคัญเพื่อเป็นเครื่องมือในการพัฒนางานสาธารณสุข
ทางด้าน สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส) โดยมี ผศ.ดร.จรวยพร ศรีศศลักษณ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร สวรส. ร่วมนำเสนอความก้าวหน้าตามนโยบายการสนับสนุนการวิจัยสุขภาพอย่างครบวงจร (ข้อ 9) โดยเสนอ “การผลักดันกฎหมายจัดตั้งสถาบันวิจัยสุขภาพ กับ (ร่าง) พรบ.ส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยสุขภาพ พ.ศ....” สู่บทบาทที่ครอบคลุมทุกมิติงานวิจัยด้านสุขภาพของประเทศ
จากสาระสำคัญของการนำเสนอความก้าวหน้าของ สวรส. ได้ชูประเด็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ที่สังคมจะได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นจากกฎหมายใหม่ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยสุขภาพที่ครอบคลุมทุกมิติของงานวิจัยด้านสุขภาพ ตั้งแต่งานวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพพื้นฐาน ไปจนถึงการวิจัยระบบสาธารณสุข ให้สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายใหม่ๆ ของปัญหาสุขภาพในอนาคต พร้อมสามารถบูรณาการทั้งในระดับนโยบาย แหล่งทุนวิจัย ตลอดจนการพัฒนาศักยภาพของนักวิจัยหรือผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ การนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ และการประเมินผล ควบคู่ไปกับการสนับสนุนเกิดการสร้างนักวิจัยที่เป็นบุคลากรสำคัญของการพัฒนาประเทศในทุกด้าน การส่งเสริมให้เกิดงานวิจัยสุขภาพที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีสุขภาวะที่ดี (Well being) รวมทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการด้านสุขภาพที่จะช่วยสร้างรายได้และความมั่นคงด้านสุขภาพให้แก่ประเทศ (Wealth)
ทางด้าน สาระสำคัญของ (ร่าง) พ.ร.บ.ฯ นั้น จะแบ่งเป็น “บทบาท” ที่ครอบคลุมทุกมิติงานวิจัยด้านสุขภาพ ได้แก่ วิจัยทางวิทยาศาสตร์พื้นฐาน วิจัยทางคลินิก วิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ วิจัยระบบสุขภาพ วิจัยทางสาธารณสุขและสังคม และการวิจัยอื่นๆ ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ โดยมีการดำเนินงานที่สอดคล้องกับนโยบายการวิจัยแห่งชาติ
"คณะกรรมการ” กำกับทิศทาง นำสู่การเปลี่ยนเปลง ประกอบด้วย 2 ชุดหลัก คือ 1) คณะกรรมการส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยสุขภาพ มีจำนวน 16 คน ทำหน้าที่กำหนดนโยบาย ทิศทางการวิจัยสุขภาพของประเทศ แนวทางการสนับสนุนทุนวิจัยสุขภาพที่เหมาะสม 2) คณะกรรมการติดตามประเมินผลการส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยสุขภาพ มีจำนวน 7 คน ทำหน้าที่ติดตามและประเมินผลการบริหารกองทุนและประเมินผลการดำเนินงานให้สอดคล้องกับนโยบายและเป้าหมายที่กำหนด
“สำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยสุขภาพ” กลไกหลักขับเคลื่อนการดำเนินงาน มีหน้าที่จัดทำข้อเสนอเพื่อการกำหนดนโยบายและดำเนินงานด้านการวิจัยสุขภาพเสนอคณะกรรมการเพื่อพิจารณา ดำเนินการบริหารจัดการทุนวิจัยด้านสุขภาพ การเสริมสร้างศักยภาพและขีดความสามารถของนักวิจัย ผลักดันการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งการจัดทำแผนการติดตามประเมินผลการวิจัยสุขภาพ
ทั้งนี้ ในการผลักดันกฎหมายจัดตั้งสถาบันวิจัยสุขภาพนั้น ทาง สวรส. ได้เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นต่อ (ร่าง) พ.ร.บ. ไปแล้วเมื่อวันที่ 19 ธ.ค.ที่ผ่านมา และยังอยู่ในกระบวนการเสนอ (ร่าง) พ.ร.บ.ฯ ต่อคณะกรรมการ สวรส. ในการพิจารณาความเหมาะสมของเนื้อหาสาระ เพื่อเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีในโอกาสต่อไป
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข จับมือ โรช ไทยแลนด์ ลงนาม MOU หนุนการพัฒนาระบบสุขภาพให้ชาวไทย
สมาคมมนุษยพันธุศาสตร์ เปิดเวทีวิชาการ "ก้าวถัดไปกับจีโนมิกส์ประเทศไทย" ชูความร่วมมือทางพันธุศาสตร์มนุษย์ พัฒนาระบบบริการสุขภาพ-อุตสาหกรรมการแพทย์ในอนาคต
เดินหน้าความร่วมมือด้านจีโนมิกส์ประเทศไทย - อังกฤษ เตรียมพัฒนาแนวทางนำข้อมูลพันธุกรรมใช้ประโยชน์วิจัย วินิจฉัยรักษา ในไทย
ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ พัฒนาเชิงรุกให้บริการตรวจเลือดเพื่อระบุอัลไซเมอร์ และจุลินทรีย์ในลำไส้
9 ส.ค. เชิญร่วมฟังเสวนา Jump to Future : ก้าวสู่ยุคดิจิตอล เสริมสร้างบริการกับแชทบอทผู้ดูแลสุขภาพจิตตลอด 24 ชม.
สวรส. ถกบทเรียนวิจัยแก้วิกฤตโควิดกับการขับเคลื่อนนโยบาย สู่มาตรการลดช่องว่างสังคมไทย
สวรส. สรุปผลผลักดันวิจัยโควิด หนุนใช้ออกแบบมาตรการรัฐ ผ่อนปรนล็อคดาวน์ประเทศ บอร์ดแนะเร่งวิจัยต่อเนื่องครอบคลุมระยะกลาง-ยาว
สวรส. เดินหน้าศูนย์บริการทดสอบการแพทย์จีโนมิกส์ ถอดรหัสพันธุกรรมคนไทยมาตรฐานสากล 5 หมื่นราย
ความร่วมมือวิจัยแบบจำลองปอดสามมิติ หัวใจสำคัญการทดสอบยา-กุญแจไขรหัสการรักษาชีวิตผู้ป่วยโควิด