มูลนิธิบูรณะนิเวศ เตือนสติ กต. อยากกำกับดูแล JTEPA ควรติดตามแก้ปัญหานำเข้าขยะอันตรายด้วย

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

          ตามที่การประชุมคณะรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ กระทรวงการต่างประเทศจะเสนอให้ ครม.โอนภารกิจกำกับดูแลความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย – ญี่ปุ่น (JTEPA) จากกระทรวงพาณิชย์ไปที่กระทรวงต่างประเทศ โดยออกเป็นคำสั่งสำนักนายกฯ เรื่องการปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการกำกับการดำเนินการตามข้อตกลง โดยมอบให้ รมว.กต. เป็นประธาน 
          น.ส.เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ ซึ่งติดตามมลพิษอุตสาหกรรมและเคยได้ท้วงติงเนื้อหาความตกลงJTEPA ตั้งแต่ก่อนลงนามเมื่อปี 2550 ว่าจะส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นที่ทิ้งขยะอันตรายจากญี่ปุ่น มองว่า กระทรวงใดจะมารับผิดชอบการกำกับดูแลได้ดีกว่ากันนั้น ตนไม่แน่ใจ แต่ 6 ปีที่ผ่านมา ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากความตกลง JTEPA ในสังคมไทยที่กระทรวงต่างประเทศเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการเจรจากำลังปรากฏชัดอย่างน่าวิตก หากกระทรวงการต่างประเทศต้องการเป็นหน่วยงานกำกับดูแลความตกลง JTEPA ก็ควรพิจารณาดำเนินการติดตามปัญหาการนำเข้าขยะอันตรายด้วย เพราะนี่คือผลพวงหนึ่งของการเจรจาที่ไปยอมรับขยะสารพิเษและขยะอันตรายเป็นสินค้าที่ซื้อขายกันได้ปกติ
          “ขณะนี้ ประเทศไทยมีปัญหาทั้งขยะอุตสาหกรรมและขยะชุมชนรุนแรงมาก และมีโรงงานคัดแยกและแปรรูปขยะมากจนผิดปกติ ซึ่งหลังจากการคัดแยกและแปรรูปแล้ว จะมีขยะที่เหลือจากกระบวนการถูกนำไปทิ้งตามที่ต่างๆทั้งที่ถูกและผิดกฎหมาย ซึ่งกำลังเป็นภาระกับสังคม และกำลังก่อความเสียหายกับชุมชนมากขึ้นเรื่อยๆ จากการติดตามพบว่า มีขยะอันตรายนำเข้าจากญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ไปลอบทิ้งตามหลุมขยะของชุมชนและตามที่ต่างๆ ในจังหวัดชลบุรี ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี แต่ 6 ปีที่ผ่านมา หน่วยงานรัฐซึ่งไปทำความตกลงให้ขยะอันตรายกลายเป็นสินค้าปกติ ไม่เคยทำข้อมูลหรือเปิดเผยข้อมูลว่า แต่ละปีมีการนำเข้าขยะอันตรายจากกี่ประเทศ เป็นปริมาณเท่าไร และเศษสุดท้ายจากการคัดแยกที่ไม่สามารถแปรรูปแล้วไปอยู่ที่ใด”
          ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ ยังตั้งข้อสังเกตว่า การตั้งโรงงานแปรรูปขยะที่มากขึ้นเรื่อยๆ กำลังเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษอีกรูปแบบของชุมชนที่อยู่ใกล้เคียง
          “เราพบว่า ปี 56-57 มีขยะที่ไม่สามารถแปรรูปได้ถูกลักลอบทิ้งจำนวนมาก และจากการติดตามข่าวนับจากเพลิงไหม้ที่แพรกษา จาก มี.ค.-มิ.ย. 57 พบว่ามีการลอบเผาบ่อขยะชุมชนมากถึง 15 ครั้ง ซึ่งสันนิษฐานว่า เป็นการทำลายหลักฐานการลอบทิ้งขยะอันตราย เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นและทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ แต่ไม่มีการสำรวจปัญหาที่แท้จริง”
          ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ ชี้ว่า รัฐบาลต้องมีการทบทวนตรงนี้ และควรมีการศึกษา-การสำรวจว่า จากความตกลงJTEPA ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายขยะอันตรายทั้งนำเข้าและส่งออกกี่ชนิด จำนวนเท่าไร และปลายทางการกำจัดส่วนที่ไม่สามารถแปรรูปได้อยู่ที่ไหนอย่างไร ไม่ใช่ปล่อยให้ชุมชนต่างๆเป็นผู้รับภาระผลกระทบจากสารพิษเหล่านี้
          “จากบทเรียนครั้งนี้ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ถ้ารัฐบาลทำการค้า ความตกลงกับประเทศใดๆอีกขอให้เปิดเผยข้อมูล นี่เป็นเรื่องสำคัญ เราไม่สามารถปล่อยให้รัฐบาลและหน่วยราชการนำพาประเทศชาติ โดยประชาชนไม่ได้รับรู้อีกได้ เพราะเสียหายมาก”
          ย้อนกลับไปเมื่อปี 2550 เอฟทีเอ ว็อชท์ ได้ออกมาเปิดเผยว่า ร่างความตกลง JTEPA มีข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับการค้าของเสียและของเสียอันตรายบรรจุไว้ด้วย โดยแอบแฝงรวมอยู่ในฐานะที่เป็นสินค้า ดังปรากฏในบทที่ 3 ของร่างความตกลงที่กล่าวถึงกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า ข้อ 28 ถึงแม้จะไม่มีคำว่าสิ่งปฏิกูลหรือกากของเสีย หรือกากของเสียอันตรายโดยตรง แต่ความหมายของสินค้าของร่างความตกลงฯนั้นไม่ใช่สินค้าทั่วๆ ไป จึงมีความเสี่ยงสูงที่ไทยจะกลายเป็นถังขยะหรือแหล่งลงทุนของธุรกิจกำจัดขยะ หรือแปรรูปขยะของญี่ปุ่น โดยที่การเจรจาในขณะนั้น กระทรวงการต่างประเทศเป็นหัวหน้าทีมเจรจาและไม่เคยเชิญหน่วยราชการด้านสิ่งแวดล้อมเข้าร่วมหารือ
          สำหรับของเสียอันตรายที่อยู่ในพิกัดภาษีศุลกากรของ JTEPA อาทิ ขี้แร่, ขี้ตะกอน, เศษอื่นๆ ที่ได้จากการผลิตเหล็กหรือเหล็กกล้า, ตะกอนของน้ำมันเบนซินชนิดเติมสารตะกั่ว, ตะกอนของสารกันเครื่องยนต์เคาะที่มีตะกั่ว, เถ้าและกากที่ได้จากการเผาขยะเทศบาล, ของเสียทางเภสัชกรรม, ของเสียจากสถานพยาบาล, ผลิตภัณฑ์ที่เหลือจากอุตสาหกรรมเคมีหรือจากอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกัน, ขยะเทศบาล, ตะกอนจากน้ำเสียและของเสียอื่นๆ, ของเสียที่เป็นของเหลวกัดล้างโลหะ, น้ำมันไฮดรอลิก น้ำมันเบรคและของเหลวกันการเยือกแข็ง, ของเสียอื่นๆ จากอุตสาหกรรมเคมีหรือจากอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกัน

 


ข่าวกระทรวงการต่างประเทศ+กระทรวงการต่างประเทวันนี้

อ.อ.ป. ร่วมประชุมภาคีป่าไม้แห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 20 (UNFF20)

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) นำโดย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปกท.ทส.) พร้อมด้วย นายสุรชัย อจลบุญ อธิบดีกรมป่าไม้ และผู้แทนจากกรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการต่างประเทศ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รวมถึง นายประสิทธิ์ เกิดโต รักษาการแทนผู้อำนวยการองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้

รศ.ดร.พัฒนาพร ฉัตรจุฑามาส หัวหน้าศูนย์เชี... ผู้บริหารศศินทร์เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ — รศ.ดร.พัฒนาพร ฉัตรจุฑามาส หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางเพื่องานวิจัย ด้านบรรษัทภิบาลและการเงินเ...

เมื่อเร็วๆนี้ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนต... กระทรวงการต่างประเทศร่วมขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ไทยสู่สากล — เมื่อเร็วๆนี้ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้จัดงานแถลงข่าวเปิดตัว...

เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายโอตากะ มาซาโตะ ( Mr. O... อธิการบดี สจล. รับมอบใบประกาศเกียรติคุณจากกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น — เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายโอตากะ มาซาโตะ ( Mr. OTAKA Masato) เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประ...