ความคืบหน้าของการดำเนินโครงการภายใต้ยุทธศาสตร์กระทรวงการคลังด้านการเงินการคลัง เพื่อรองรับประชาคมอาเซียน (พ.ศ. 2557-2560)

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

          นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอาเซียนด้านการเงินการคลัง ครั้งที่ 1/2558 เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ 4 สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง ร่วมด้วยผู้แทนระดับสูงจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ได้แก่ หน่วยงานระดับกรมในสังกัดกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กรมอาเซียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย 
          ที่ประชุมได้พิจารณาความคืบหน้าของการดำเนินโครงการภายใต้ยุทธศาสตร์กระทรวงการคลังด้านการเงินการคลังเพื่อรองรับประชาคมอาเซียน พ.ศ. 2557-2560 ซึ่งประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ 13 กลยุทธ์ 34 มาตรการ โดยมีความคืบหน้าที่สำคัญ ดังนี้
          ยุทธศาสตร์ที่ 1 การเป็นตลาดและฐานการผลิตร่วมกัน 
          กลยุทธ์ที่ 1.1 การอำนวยความสะดวกด้านการค้า
          1. การพัฒนาระบบขนส่งผ่านแดนภายใต้กรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าผ่านแดน มีวัตถุประสงค์ที่จะให้ประเทศสมาชิกอนุญาตให้รถยนต์ขนส่งที่จดทะเบียนในประเทศสมาชิกอื่นสามารถขนสินค้าผ่านประเทศตนได้ ผ่านจุดผ่านแดนและเส้นทางที่กำหนด โดยได้รับยกเว้นการจัดเก็บภาษีและค่าบริการอื่น ซึ่งภายใต้กรอบความตกลงนี้ มีพิธีสารที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงการคลัง 3 ฉบับ คือ (1) พิธีสารฉบับที่ 2 ว่าด้วยการกำหนดที่ทำการพรมแดน เป็นการตกลงกำหนดที่ทำการ ณ จุดชายแดนโดยให้มีบริเวณควบคุมและมาตรการตรวจ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่รถขนส่งสินค้าผ่านแดน ในการนี้ ประเทศไทยได้กำหนดจุดที่ทำการพรมแดนแล้ว 7 จุด ประกอบด้วย แม่สาย แม่สอด อรัญประเทศ หนองคาย สะเดา มุกดาหาร และเชียงของ สถานะปัจจุบันอยู่ระหว่างหารือกับประเทศสมาชิกเพื่อให้ได้ข้อสรุปในการกำหนดจุดผ่านแดน คาดว่าจะเจรจาให้แล้วเสร็จเพื่อให้สามารถลงนามได้ภายในปี 2558 (2) พิธีสารฉบับที่ 5 ว่าด้วยระบบการประกันภัยทางรถยนต์ภาคบังคับอาเซียน ซึ่งรัฐมนตรีคลังอาเซียนได้ลงนามในพิธีสารดังกล่าว ตั้งแต่ปี 2544 โดยเป็นการจัดทำระบบประกันภัยทางรถยนต์ภาคบังคับ ซึ่งครอบคลุมถึงความคุ้มครองทางกฎหมาย และกระบวนการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน เพื่อลดปัญหารถยนต์ข้ามแดนระหว่างกัน โดยในส่วนของไทยได้มอบหมายให้บริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด ทำหน้าที่เป็นสำนักงานประกันภัยรถผ่านแดนแห่งชาติ (National Bureau) ภายใต้พิธีสารดังกล่าว (3) พิธีสารฉบับที่ 7 ว่าด้วยระบบศุลกากรผ่านแดน เป็นการนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในการส่งข้อมูลและสื่อสารกับผู้ค้า รวมทั้งการใช้แบบฟอร์มและหลักประกันเดียวกันทั้งภูมิภาคอาเซียนสำหรับสินค้าส่งผ่านประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน เพื่อการส่งออก ในส่วนของไทยได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายศุลกากรเพื่อรองรับการขนส่งสินค้าผ่านแดน เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2557 โดยกำหนดหลักเกณฑ์การนำเข้าสินค้าผ่านแดนหรือการถ่ายลำออกนอกประเทศ รวมทั้งวิธีการนำข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อลงนามในร่างพิธีสารฉบับนี้ 
          2. การจัดตั้งการให้บริการระบบอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน (ASEAN Single Window: ASW) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานด้านศุลกากรของประเทศในการอำนวยความสะดวก ทางการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งในส่วนของไทย ปัจจุบันมีหน่วยงานที่ดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลกับระบบ National Single Window (NSW) ของไทยแล้วจำนวน 26 หน่วยงาน จากทั้งหมด 36 หน่วยงาน ส่วนการดำเนินการ ASW นั้น ประเทศสมาชิกอาเซียนได้มีการนำร่องเชื่อมโยงข้อมูลกับประเทศที่มีความพร้อมก่อนแล้วเมื่อปี ๒๕๕๕ ประกอบด้วย ไทย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม บรูไน โดยได้เริ่มทดสอบการรับส่งข้อมูลใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (ATIGA Form D) และใบขนสินค้าอาเซียน (ASEAN Customs Declaration Document: ACDD) แล้ว
          3. ร่างพิธีสารว่าด้วยกรอบกฎหมายเพื่อดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน (Protocol on the Legal Framework to Implement the ASEAN Single Window) เป็นการกำหนดกรอบกฎหมายสำหรับการดำเนินการ การติดต่อสื่อสาร และการประมวลผลทางอิเล็กทรอนิกส์ของธุรกรรมระหว่างระบบ NSW ของประเทศสมาชิกกับระบบ ASW ปัจจุบันอยู่ระหว่างการนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบเพื่อให้สามารถลงนามในพิธีสารได้ภายในเดือนมีนาคม 2558 

          กลยุทธ์ที่ 1.2 การอำนวยความสะดวกด้านการลงทุน

          1. มาตรการภาษีด้านตลาดทุนเพื่อรองรับการเคลื่อนย้ายการลงทุน กรมสรรพากรได้ออกมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยงตลาดทุนไทยกับตลาดทุนในอาเซียน (ASEAN Linkage) โดยยกเว้นภาษีกำไรจากการขายหลักทรัพย์ ให้กับนักลงทุนที่ซื้อขายหลักทรัพย์ข้ามประเทศในตลาดหลักทรัพย์อาเซียน และให้บุคคลธรรมดาที่ได้รับเงินปันผลจากบริษัทต่างประเทศที่มีหุ้นจดทะเบียนใน 2 ตลาดหลักทรัพย์ สามารถเลือกหักภาษีร้อยละ 10 ณ ที่จ่ายได้โดยไม่ต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี
          2. ปรับเกณฑ์รองรับการออกและเสนอขายหลักทรัพย์ระหว่างกันในอาเซียน สำนักงาน ก.ล.ต. ได้อนุญาตให้กองทุนรวมต่างประเทศสามารถเสนอขายให้กับผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่ได้ และให้บริษัทที่ต้องการเสนอขายหลักทรัพย์ในประเทศสมาชิกอาเซียนตั้งแต่ 2 ประเทศขึ้นไป สามารถใช้แบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ เอกสารการเปิดเผยข้อมูล และหนังสือชี้ชวนชุดเดียวกันได้

          กลยุทธ์ที่ 1.3 การอำนวยความสะดวกด้านการเงิน
          1. การพัฒนาระบบชำระเงิน ได้มีการเชื่อมโยงระบบ ATM ของไทยกับของประเทศมาเลเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เพื่อให้บริการเบิกถอนเงินสดระหว่างประเทศแล้ว การดำเนินการต่อไปจะพิจารณาแนวทางการโอนเงินกลับของแรงงานต่างด้าวผ่านช่องทางที่ได้รับอนุญาตระหว่างไทย กัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และเมียนมาร์ รวมทั้งหาแนวทางการใช้สกุลเงินท้องถิ่นชำระค่าสินค้าและบริการ โดยเริ่มจากศึกษาการชำระสินค้า กรณีสกุลเงินบาท – มาเลเซียริงกิต และบาท-อินโดนีเซียรูเปียห์
          2. ส่งเสริมการลงทุนไทยในอาเซียน ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ผ่อนคลายกฎเกณฑ์สำหรับเงินทุนขาออกเพิ่มขึ้นตามแผนแม่บทการเปิดเสรีเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ เพื่อสนับสนุนการลงทุนของคนไทยในต่างประเทศ โดยลดข้อจำกัดเงินทุนขาออก ได้แก่ อนุญาตให้นักลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดาสามารถลงทุนได้โดยตรง ให้กู้เงินได้ไม่จำกัดวงเงิน แต่ยังคงมีมาตรการรองรับยามฉุกเฉิน และเพิ่มจำนวนนักลงทุนสถาบันโดยอนุญาตให้บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สามารถลงทุนโดยตรงในต่างประเทศได้โดยไม่ต้องผ่านตัวแทน รวมทั้งอนุญาตให้บริษัทสามารถออกตราสารหนี้ที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศทั้งในและนอกประเทศได้
          3. พิธีสารอนุวัติข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน รอบที่ 6 ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าบริการของอาเซียน เพื่อลดหรือยกเลิกข้อจำกัดที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าบริการภายใต้กรอบอาเซียนให้มากกว่าที่เปิดเสรีตามกรอบองค์การการค้าโลก ซึ่งในการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงินในรอบนี้ ประเทศไทยจะผูกพันเพิ่มเติมในด้านธนาคารพาณิชย์และบริษัทนายหน้าและตัวแทนประกันภัยตามกฎหมายปัจจุบันขณะนี้อยู่ระหว่างนำเสนอคณะรัฐมนตรีและสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อให้ความเห็นชอบและเพื่อให้สามารถลงนามพิธีสารฯ ฉบับที่ 6 ได้โดยเร็ว 

          ยุทธศาสตร์ที่ 2 การเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน 

          กลยุทธ์ที่ 2.1 ปรับปรุงโครงสร้างและประสานข้อมูลทางภาษี
          1. การปรับปรุงขั้นและอัตราภาษีเงินได้ โดยปรับอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นการทั่วไปจาก 5 ขั้นเป็น 7 ขั้น และปรับลดอัตราสูงสุดจากร้อยละ 37 เป็นร้อยละ 35 ส่วนภาษีเงินได้นิติบุคคลปรับลดจากร้อยละ 30 เหลือร้อยละ 20
          2. การจัดทำอนุสัญญา/ความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนกับประเทศกัมพูชา ปัจจุบันประเทศไทยได้ดำเนินการจัดทำอนุสัญญาเพื่อเว้นการเก็บภาษีซ้อนกับประเทศสมาชิกอาเซียนแล้ว 8 ประเทศ ยกเว้นกัมพูชาที่ยังไม่มีการจัดทำอนุสัญญาฯ ซึ่งเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2557 กรมสรรพากรของไทยและกัมพูชา ได้มีการหารือทวิภาคี โดยฝ่ายกัมพูชามีความพร้อมที่จะเริ่มกระบวนการเจรจากับฝ่ายไทยได้ โดยในขั้นต้นผู้แทนกรมสรรพากรของไทยจะเริ่มให้ความรู้ทางวิชาการราวเดือนกุมภาพันธ์ 2558 และจะเริ่มกระบวนการเจรจาตามลำดับต่อไป


ข่าวสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์+คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยวันนี้

3 หน่วยงานกำกับดูแล เดินหน้าโครงการ Responsible Voices สำหรับ Finfluencer รุ่นที่ 2 ส่งเสริมการให้ข้อมูลการเงิน การลงทุน และประกันภัย อย่างมีความรับผิดชอบ

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เดินหน้าโครงการ "Responsible Voices สำหรับ Finfluencer รุ่นที่ 2" ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องหลังจากได้รับผลการตอบรับเป็นอย่างดีในรุ่นที่ 1 ที่เสร็จสิ้นไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2568 เตรียมปักหมุดในเดือนตุลาคมนี้ มีผู้ที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมอบรมจำนวน 40 ราย โครงการ Responsible Voices สำหรับ Finfluencer ภายใต้การร่วมมือของทั้ง 3 หน่วยงานกำกับดูแล

เดินหน้าส่งเสริมการให้ข้อมูลการเงิน การลง... 3 หน่วยงานกำกับดูแล ร่วมจัดทำโครงการ Responsible Voices สำหรับ Finfluencer — เดินหน้าส่งเสริมการให้ข้อมูลการเงิน การลงทุน และประกันภัย อย่างมีความรับผิดชอ...

ก.ล.ต. แจ้งเตือนผู้ถือหุ้นกู้ EA จำนวน 11 รุ่น ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ในวันที่ 16 ธันวาคม 2568

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ EA จำนวน 11 รุ่นใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ศึกษาข้อมูล ซักถามผู้ออกหุ้นกู้หรือผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้...

ก.ล.ต. แจ้งเตือนผู้ถือหุ้นกู้ PHUKET จำนวน 6 รุ่น ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ในวันที่ 15 ธันวาคม 2568

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ PHUKET จำนวน 6 รุ่น ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ศึกษาข้อมูล ซักถามผู้ออกหุ้นกู้หรือผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้เพื่อ...

ก.ล.ต. มีแนวคิดปรับปรุงหลักเกณฑ์ "หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง" และวัตถุประสงค์การใช้เงินของผู้ออกตราสารหนี้

ก.ล.ต. เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อการปรับปรุงหลักเกณฑ์การออกและเสนอขายหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง ให้สอดคล้องกับลักษณะการเสนอขายในปัจจุบันมากยิ่งขึ้น และปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์การใช้...

ก.ล.ต. แจ้งเตือนผู้ถือหุ้นกู้ JCKD206A ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ วันที่ 11 ธันวาคม 2568

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ JCKD206A ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ศึกษาข้อมูล ซักถามผู้ออกหุ้นกู้หรือผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วนและ...

ก.ล.ต. แจ้งเตือนผู้ถือหุ้นกู้ GRAND จำนวน 12 รุ่น ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ วันที่ 11 ธันวาคม 2568

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ GRAND จำนวน 12 รุ่น ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ศึกษาข้อมูล ซักถามผู้ออกหุ้นกู้หรือผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้...

ก.ล.ต. แจ้งเตือนผู้ถือหุ้นกู้ PRIME จำนวน 4 รุ่น ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ในวันที่ 9 ธันวาคม 2568

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ PRIME จำนวน 4 รุ่น ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ศึกษาข้อมูล ซักถามผู้ออกหุ้นกู้หรือผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้...