ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน และแนวโน้ม “บ. ทีทีซีแอล” ที่ “BBB+/Stable”

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

          ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท ทีทีซีแอล จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ "BBB+" ด้วยแนวโน้ม "Stable" หรือ "คงที่" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดภายในประเทศของบริษัทที่มีความแข็งแกร่งในธุรกิจให้บริการด้านการออกแบบวิศวกรรม การจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์ และการก่อสร้างแบบครบวงจร (Engineering, Procurement, and Construction -- EPC) ตลอดจนความสามารถในการรับเหมางานโครงการที่มีขนาดใหญ่ขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ และการขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจโรงไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากการมีภาระหนี้ที่สูงขึ้นของบริษัท รวมถึงความเสี่ยงจากการดำเนินโครงการ EPC ในต่างประเทศ ลักษณะที่เป็นวงจรขึ้นลงของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และการแข่งขันที่รุนแรง
          แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงรักษาสถานะทางการตลาด EPC ภายในประเทศที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้ อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 5%-6% และอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนต่ำกว่า 55% หรืออัตราส่วนเงินกู้ต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ในระดับต่ำกว่า 1.2 เท่าในช่วงปี 2558-2561
          การปรับเพิ่มของอันดับเครดิตไม่น่าจะเกิดขึ้นในระยะสั้น เว้นแต่ผลการดำเนินงานของบริษัทจะสูงกว่าประมาณการและภาระหนี้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม การปรับเพิ่มอันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากแผนการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ซึ่งจะกดดันสถานะทางการเงินของบริษัท ในขณะเดียวกัน อันเครดิตอาจปรับลดลงหากความสามารถในการทำกำไรของบริษัทอ่อนแอลง หรือหากอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนสูงเกินกว่าระดับ 60% ในระยะเวลาที่ต่อเนื่อง ทั้งนี้ หากบริษัทมีการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ การประเมินอันดับเครดิตและหรือแนวโน้มอันดับเครดิตจะพิจารณาความเสี่ยงจากการดำเนินโครงการ รวมถึงคุณภาพโครงการ และโครงสร้างการเงินของโครงการต่อไป
          บริษัททีทีซีแอลเป็นผู้รับเหมางานประเภท EPC ในประเทศไทยซึ่งก่อตั้งในปี 2528 จากการร่วมทุนระหว่าง บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และToyo Engineering Corporation (TEC) ซึ่งเป็นบริษัท EPC ในประเทศญี่ปุ่น บริษัทแปลงสภาพเป็นบริษัทจำกัดมหาชนในปี 2551 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปีต่อมา ณ วันที่ 18 ธันวาคม 2558 TEC มีสัดส่วนการถือหุ้น 17.4% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท โดยมี Chiyoda Corporation จากประเทศญี่ปุ่นถือหุ้นในสัดส่วน 3% และบริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ เหลือสัดส่วนการถือหุ้น 3.3% การเป็นผู้รับเหมางาน EPC ที่ครบวงจรทำให้บริษัทรับเหมางานก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมเป็นหลัก ซึ่งรวมถึงโรงงานปิโตรเคมีและโรงกลั่น โรงงานผลิตเคมีภัณฑ์ โรงผลิตปุ๋ย โรงกลั่นน้ำมันและแยกก๊าซ และโรงไฟฟ้า ในปี 2553 บริษัทขยายไปสู่ธุรกิจโรงไฟฟ้า โดยลงทุนในโรงไฟฟ้าต่าง ๆ ทั้งนี้ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากวัฏจักรของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและการแข่งขันที่รุนแรง
          อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดในประเทศที่แข็งแกร่งของบริษัทในธุรกิจรับเหมางานประเภท EPC โดยเฉพาะงานก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม บริษัทเป็น 1 ในผู้รับเหมาก่อสร้างชั้นนำ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยพิจารณาจากรายได้และขนาดของสินทรัพย์ ทั้งนี้ บริษัทมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในผลงานที่มีคุณภาพจากการมีลูกค้าที่มีชื่อเสียงและมีความน่าเชื่อถือ ซึ่งรวมถึงบริษัทกลั่นน้ำมันและบริษัทปิโตรเคมีรายใหญ่หลายราย ทั้งนี้ ผลงานในอดีตที่เป็นที่ยอมรับประกอบกับความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์น่าจะช่วยให้บริษัทรักษาความเป็นผู้นำในตลาดรับเหมางานประเภท EPC ต่อไปได้ในระยะปานกลาง 
          อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความสามารถของบริษัทในการรับเหมางานขนาดใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ บริษัทมีงานในมือที่ยังไม่ส่งมอบ (Backlog) สูงขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาซึ่งจะช่วยรักษาระดับรายได้ของบริษัทในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าแม้ว่าจะมีความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของโครงการใหญ่ก็ตาม ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558 บริษัทมีมูลค่างานในมือที่ยังไม่ส่งมอบจำนวน 3.47 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ ตามสมมติฐานของทริสเรทติ้ง มูลค่างานดังกล่าวจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในปี 2558 คิดเป็น 20% ของรายได้ของบริษัท ในปี 2559 ที่ 75% และในปี 2560 ที่ 45% บริษัทรวมทั้งบริษัทย่อยและสาขาในต่างประเทศรับเหมางาน EPC ในประเทศเพื่อนบ้านและในประเทศอื่น ๆ เช่น กาต้าร์ ฟิลิปปินส์ และสหรัฐอเมริกา ซึ่งช่วยกระจายความเสี่ยงของที่ตั้งโครงการและมีส่วนเสริมสถานะอันดับเครดิตให้แก่บริษัท บริษัทมีรายได้เกือบ 2 หมื่นล้านบาทในปี 2557 โดยรายได้ 50% มาจากโครงการในต่างประเทศ 
          การประเมินอันดับเครดิตยังพิจารณารวมถึงกลยุทธ์ธุรกิจในการขยายไปสู่ธุรกิจโรงไฟฟ้าด้วย โดยบริษัทได้ลงทุนในโรงไฟฟ้าหลายโครงการเพื่อให้มีรายได้ต่อเนื่องจากสัญญาขายไฟฟ้าระยะยาว นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้จากงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าเหล่านี้ทั้งหมดอีกด้วย บริษัทลงทุนในโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ โรงไฟฟ้าชีวมวล และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งนี้ บริษัทเริ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าในปี 2553 โดยซื้อหุ้นบุริมสิทธิของ บริษัท นวนครการไฟฟ้า จำกัด ในสัดส่วน 42% โดยบริษัทนวนครการไฟฟ้าดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมขนาด 110 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ บริษัทยังลงทุนและก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมขนาด120 เมกะวัตต์ในเขต Ahlone เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่าด้วย (โครงการ Ahlone) โดยผ่านบริษัทย่อยในประเทศพม่า บริษัทถือหุ้น 72% ในโครงการดังกล่าวซึ่งมีมูลค่าประมาณ 5,500 ล้านบาท บริษัทมีความคืบหน้าที่น่าพอใจในธุรกิจโรงไฟฟ้า โดยมีผลกำไร (ก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย) (EBITDA) จำนวนมากจากธุรกิจโรงไฟฟ้าเมื่อโครงการ Ahlone ได้เริ่มสร้างรายได้ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 EBITDA จากธุรกิจโรงไฟฟ้าคิดเป็น 60% ของ EBITDA ทั้งหมดของบริษัท หรือ 311 ล้านบาท ในอนาคตคาดว่าธุรกิจโรงไฟฟ้าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีและช่วยรักษาความสามารถในการทำกำไรของบริษัท
          ในทางตรงข้าม อันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากโครงสร้างเงินทุนของบริษัทที่อ่อนแอลงจากการกู้ยืมเพื่อขยายธุรกิจ โดยบริษัทก่อหนี้สูงขึ้นเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและลงทุนในโรงไฟฟ้า โดยเฉพาะในประเทศพม่า ทั้งนี้ บริษัทมีแผนลงทุนและก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 1,280 เมกะวัตต์ มูลค่าประมาณ 100,000-103,000 ล้านบาทในประเทศพม่า ซึ่งจะทำให้ภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
อันดับเครดิตยังถูกลดทอนบางส่วนจากความเสี่ยงจากการดำเนินโครงการ EPC ในต่างประเทศแม้ว่าจะมีข้อดีจากการกระจายความเสี่ยงของที่ตั้งโครงการก็ตาม นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังถูกจำกัดโดยวัฏจักรของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างซึ่งมีผลกระทบต่อรายได้และกำไรของบริษัท อีกทั้งการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างผู้รับเหมาก่อสร้างก็ส่งผลให้อัตรากำไรของบริษัทลดลงด้วย
          สถานะทางการเงินของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 ต่ำกว่าประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้ง โดยภาระหนี้ของบริษัทอยู่ในระดับที่สูงกว่าประมาณการจากความต้องการเงินทุนหมุนเวียนสำหรับโครงการขนาดใหญ่ ทั้งนี้ อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทอยู่ที่ 2.38% ในปี 2557 และ 3.04% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 ลดลงจากค่าเฉลี่ยที่ 5.5% ในช่วงปี 2554-2556 ภายใต้สมมติฐานพื้นฐานซึ่งยังไม่รวมการลงทุนในโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 1,280 เมกะวัตต์ ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้รวมของบริษัทอย่างน้อยจะอยู่ที่ระดับ 19,000-24,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2558-2561 และยังคาดว่าอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทจะปรับตัวขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 5%-6% ในช่วงปี 2558-2561 อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากรายได้จากโครงการ Ahlone ในขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 600-700 ล้านบาทต่อปี
          ในช่วงปี 2558-2561 ประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะรักษาระดับอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นในระดับต่ำกว่า 1.2 เท่า สภาพคล่องของบริษัทเมื่อวัดจากอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมและอัตราส่วนกำไร (ก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย) ต่อดอกเบี้ยจ่ายแล้วคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น บริษัทจะมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากโครงการ Ahlone ซึ่งช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้สูงขึ้น ในขณะที่แผนการลงทุนในโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 1,280 เมกะวัตต์จะส่งผลให้โครงสร้างเงินทุนของบริษัทเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ ในช่วงปี 2558-2561 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมคาดว่าจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 7% และอัตราส่วนกำไรต่อดอกเบี้ยจ่ายจะอยู่ที่ระดับ 3 เท่าหรือสูงกว่า

บริษัท ทีทีซีแอล จำกัด (มหาชน)(TTCL)

อันดับเครดิตองค์กร: BBB+
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
TTCL175A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2560 BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable


ข่าวบริษัท ทีทีซีแอล จำกัด+ทริสเรทติ้งวันนี้

บางจากฯ ฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง คงระดับเครดิต A+ จากทริส เรทติ้ง ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2

บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้รับการคงอันดับเครดิตองค์กร และอันดับเครดิตตราสารหนี้ประเภทหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ที่ระดับ "A+" และแนวโน้มอันดับเครดิต "stable" หรือ "คงที่" ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จากการประกาศอันดับเครดิตของทริสเรทติ้ง ตั้งแต่วันที่ 30 ตุลาคม 2568 ตอกย้ำความแข็งแกร่งของสถานะทางการเงิน การคงอันดับเครดิตนี้ครั้งนี้ สะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ภายหลังจากการเข้าซื้อกิจการ บริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) ('BSRC') โดยบริษัทฯ ได้ยกระดับความ

ก.ล.ต. แจ้งเตือนผู้ถือหุ้นกู้ TTCL25OA และ TTCL269A ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ในวันที่ 24 ตุลาคม 2568

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ TTCL25OA และ TTCL269A ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ศึกษาข้อมูล ซักถามผู้ออกหุ้นกู้หรือผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ...

ก.ล.ต. แจ้งเตือนผู้ถือหุ้นกู้ TTCL จำนวน 5 รุ่น ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ในวันที่ 16 ตุลาคม 2568

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ TTCL จำนวน 5 รุ่น ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ศึกษาข้อมูล ซักถามผู้ออกหุ้นกู้หรือผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้...

คุณกิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ (แถวบนที่ 3 ... BBGI ผนึกบางจากฯ และพันธมิตรมุ่งสู่ผู้นำพลังงานแห่งอนาคต — คุณกิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ (แถวบนที่ 3 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีบีจีไอ จำกัด...

นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธ... ภาพข่าว: EXIM BANK เยี่ยมชมโครงการโรงไฟฟ้าของ TTCL ในเมียนมา — นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BA...

TTCLเชิญนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ผู้จัดการกองทุน สื่อมวลชน ร่วมประชุมและรับฟังคำชี้แจงพร้อมตอบข้อซักถามของบริษัทฯ

บริษัท ทีทีซีแอล จำกัด (มหาชน) หรือ TTCL ขอเรียนเชิญท่านเข้าร่วมประชุม และรับฟังคำชี้แจงพร้อมตอบข้อซักถามเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของหลักทรัพย์กับฝ่ายบริหาร ของ TTCL...