นายดิ๊กคินสันมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์สูงในแวดวงการเงิน โดยได้รับมอบหมายให้นำพาธุรกิจบริหารเงินและตลาดทุนในประเทศไทยให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง นายดิ๊กคินสันเข้าร่วมงานกับเอชเอสบีซีในปี 2546 ในตำแหน่งนักค้าเงินอาวุโสและผู้อำนวยการ ฝ่ายธุรกิจค้าเงินตราต่างประเทศและตลาดเงิน ประจำประเทศฮ่องกง ต่อมาในปี 2553 เขาได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการบริหาร ธุรกิจค้าเงินตราต่างประเทศ ประจำประเทศสิงคโปร์ รับผิดชอบงานด้านบริหารจัดการความเสี่ยงทางการเงิน การสร้างรายได้ให้เติบโต และการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ก่อนเข้ารับตำแหน่งปัจจุบัน นายดิ๊กคินสันดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการบริหาร ธุรกิจบริหารความเสี่ยงตลาดเงิน ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศสิงคโปร์ มาก่อน โดยมีส่วนสำคัญในการผลักดันธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
นายดิ๊กคินสันสำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรบัณฑิตด้านการจัดการ มหาวิทยาลัยเซาท์เทิร์น ควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย เขาดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการขององค์กรชั้นนำหลายแห่งในประเทศสิงคโปร์ และให้การสนับสนุนกิจกรรมเพื่อชุมชนและสังคมอย่างสม่ำเสมอ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ วรนันท์ สุทธปรีดา, สาวิตรี หมวดเมือง โทรศัพท์ 02-614-4609, 02-614-4606
เอชเอสบีซี ประเทศไทย คว้ารางวัล 'ธนาคารเพื่อการบริหารจัดการการเงินยอดเยี่ยม' ของประเทศไทย จาก Euromoney Cash Management Survey 2025
เปิดรับสมัครแล้ว! PIM International Hackathon #5 ชิงทุนการศึกษากว่า 200,000 บาท ชวนนักเรียน-นักศึกษา ร่วมออกแบบโมเดลธุรกิจสีเขียวฉบับคนรุ่นใหม่! ตอบโจทย์โลกที่ยั่งยืน
เอชเอสบีซีเผยบทวิเคราะห์เศรษฐกิจเอเชีย: นโยบายรัฐบาลทรัมป์จะส่งผลกระทบ ต่อการไหลเข้าของ FDI สู่อาเซียนหรือไม่?
ธนาคารเอชเอสบีซี จับมือ อดิตยา เบอร์ล่า เคมีคัลส์ (ประเทศไทย) มอบสินเชื่อสีเขียวมูลค่า 500 ล้านบาท สนับสนุนนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน
ธนาคารเอชเอสบีซี ได้รับการโหวตเป็น ธนาคารเพื่อการค้าระหว่างประเทศยอดเยี่ยมของไทย
ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย บริจาค 2.2 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนมูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยฯ
ธนาคารเอชเอสบีซี จับมือ กลุ่มมิตรผล ลงนามในข้อตกลงวงเงินสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนสีเขียว 800 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตลอดห่วงโซ่ธุรกิจอย่างยั่งยืน
ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย คว้ารางวัล Best Places to Work
ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย บริจาค 6 ล้านบาท ปันน้ำใจช่วยฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยภาคเหนือกว่า 1,850 ครัวเรือน